Luxuo/World of Watches Thailand สัมภาษณ์ซีอีโอคนใหม่ของ Zenith ก่อนพิธีเปิดบูติคแห่งแรกในประเทศไทย
บทความ: รักดี โชติจินดา
Zenith เป็นแบรนด์ที่มีจำหน่ายในประเทศไทยมานานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว แต่เพิ่งจะมีบูติคเป็นของตนเองอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในปีนี้ที่ชั้น M ของศูนย์การค้าสยามพารากอน พื้นที่แห่งนี้สะท้อนปรัชญา Time to Reach Your Star ของแบรนด์ผ่านทางธีมสีฟ้าซึ่งชวนให้นึกถึงท้องฟ้าในยามค่ำคืน และมีโซน Story Bar ให้ผู้มาเยือนทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์ของ Zenith ได้ในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟ ในวันที่ทำพิธีเปิดบูติคแห่งนี้ เราได้พบกับคุณเบนัวต์ เดอ เคลิร์ค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม เขาผู้นี้มาพร้อมกับประสบการณ์กว่า 25 ปีในธุรกิจนาฬิกาในหลายประเทศของโลก และจากที่ได้พูดคุยเป็นเวลายาวนานระหว่างมื้ออาหารกลางวัน เราก็มั่นใจในอนาคตอันสดใสบนแนวทางที่จะไม่เปลี่ยนไปของ Zenith
คุณประทับใจเรื่องใดของแบรนด์ Zenith ที่สุดก่อนที่คุณจะมาทำงานที่นี่ครับ
ผมอยู่ในอุตสาหกรรมนาฬิกามากว่า 25 ปีแล้ว ผมคิดว่าผมรู้จัก Zenith ดี แต่เมื่อผมมาที่โรงงานเป็นครั้งแรก ผมก็เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทั้งหมดเลย เพราะอะไรใช่ไหมครับ เพราะว่า Zenith นั้นมีประวัติศาสตร์ที่รุ่มรวยและจริงแท้ยิ่งกว่าที่ผมคิดเสียอีก อันที่จริงแล้วตอนแรกผมไม่รู้ว่า Zenith มีรายละเอียดในแง่มุมของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและการออกแบบถึงเพียงนี้ มันเหลือเชื่อเลยจริงๆ ดังนั้นผมจึงรู้สึกทึ่งและอึ้งกับความลุ่มลึกของแบรนด์นี้จริงๆ
คุณจะอธิบายให้คนที่เพิ่งสนใจนาฬิกาเข้าใจถึงความเป็นเจ้าแห่งนาฬิกาโครโนกราฟของ Zenith ว่าอย่างไร
Zenith เป็นเจ้าแห่งนาฬิกาโครโนกราฟอย่างแน่นอน เครื่อง El Primero ก็คือเครื่อง El Primero ทุกคนรู้ว่าเราคือแบรนด์แรกที่ผลิตเครื่องโครโนกราฟนั้น และยิ่งไปกว่านั้นคือรู้ด้วยว่ามันประสบความสำเร็จเพียงใด คุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของเครื่อง El Primero ก็คือการที่มันหมุนครบหนึ่งรอบในเวลา 10 วินาที ไม่ใช่ 60 วินาที และยังมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากมาย และนี่เป็นสาเหตุว่าทำไมฝีมือในงานประดิษฐ์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงเป็นเจ้าแห่งนาฬิกาโครโนกราฟ นั่นคือประการที่หนึ่ง
ประการที่สองคือเราให้ความละเอียดอ่อนทางด้านเทคนิคในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่คุณจ่าย ต้นทุนการผลิตเครื่อง El Primero นั้นสูงมาก มันเป็นเครื่องนาฬิกาที่กระบวนการผลิตซับซ้อน และมันใช้เวลาในการผลิตนาน แต่เราก็ไม่ได้ลดคุณภาพลงแต่อย่างใด และคุณภาพนั้นไม่ได้มาจากกระบวนการเพียงอย่างเดียว หากแต่มาจากบุคลากรด้วย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมช่างนาฬิกาของเราจึงต้องผ่านการฝึกอบรมเป็นเวลานานหลายปีก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ทำเครื่องโครโนกราฟได้
นาฬิกาทริปเปิลคาเลนดาร์ที่เราเปิดตัวเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีของเรือนเวลาที่มีความซับซ้อน ทริปเปิลคาเลนดาร์เป็นคอมพลิเคชั่นที่สำคัญสำหรับทั้งช่างนาฬิกา คนรักนาฬิกาและนักสะสมนาฬิกา ต้นทุนในการผลิตนาฬิกาประเภทนี้สูงก็จริง แต่เราตั้งราคาของเราไว้ต่ำมาก นั่นหมายความว่านาฬิการุ่นนี้ของเราเป็นจุดที่ทำให้คนเข้าถึงนาฬิการะดับคอมพลิเคชั่นได้ ในอุตสาหกรรมนี้มีทำแบบนี้เพียงไม่กี่แบรนด์จริงๆ และเราก็ตัดสินใจแล้วว่าจะทำราคานาฬิการุ่นนี้ไว้ในจุดที่ดีที่คนสามารถครอบครองได้
โลโก้ Zenith ในปัจจุบันเป็นดาวห้าแฉก แต่เรายังคงเห็นสัญลักษณ์ดาวสี่แฉกซึ่งเคยเป็นโลโก้ของแบรนด์ในบางช่วงในอดีตอยู่ตามรายละเอียดการออกแบบของนาฬิการุ่นสมัยใหม่อย่างเช่น Defy Skyline ตกลงเราต้องมองอย่างไรครับ
ถือเป็นคำถามที่ดีมากๆ ครับ คุณจะต้องเป็นคนรักนาฬิกาตัวจริงแน่ๆ สิ่งที่สัญลักษณ์ทั้งสองแบบมีเหมือนกันก็คือความเป็นดาว และนี่คือสิ่งแทนตัวตนของ Zenith ไม่ว่าจะเป็นดาวห้าแฉกหรือสี่แฉกก็ตาม สุดท้ายแล้วมันก็คือดาว แต่ว่ามันจะมีสี่แฉกหรือห้าแฉกนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งที่เป็นเครื่องกำหนดก็คือประวัติศาสตร์และช่วงเวลา และสิ่งที่เราทำก็คือการกำหนดว่าช่วงเวลาใดถึงช่วงเวลาใดเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นรุ่น Revival เป็นดาวกี่แฉกครับ สี่แฉก เพราะอะไรจึงเป็นสี่แฉกครับ เพราะว่านาฬิการุ่นนี้ถูกสร้างในยุคทศวรรษที่ 1970 ซึ่งตอนนั้นดาวของเราเป็นแบบสี่แฉก และเราอาจจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของดาวขึ้นอยู่กับรุ่นจากอดีตที่เรานำกลับมาทำใหม่ และในอนาคตแน่นอนว่าเราจะใช้ดาวนี้ให้เป็นประโยชน์เพราะว่าดาวเป็นดั่งสารสำคัญของเรา
เราจะได้เห็นพัฒนาการหรือแนวทางอะไรใหม่ของ Zenith ภายใต้การบริหารของคุณครับ
ผมจะไม่ปฏิวัติอะไร เรื่องนี้แน่นอนเลย ผมจะทำต่อไปเหมือนเดิม แบรนด์กำลังไปได้ดีอยู่ นาฬิการุ่นใหม่ก็ขายได้ดีมากๆ อยู่ ผมจะทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีต่อไป และตรงไหนผมเพิ่มหรือปรับปรุงอะไรได้ผมก็จะทำ เหมือนผมทำหน้าที่เป็นเชฟใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ตัวแบรนด์นั้นเขามีความจริงแท้เป็นอย่างมากอยู่แล้ว ผมก็จะไปต่อไปตามนั้น คนที่โชคดีมีโอกาสได้ไปถึงโรงงานมาแล้วก็จะเข้าใจว่า Zenith เป็นแบรนด์ที่มีความจริงแท้แค่ไหน ปีหน้านี้เราจะฉลองครบรอบ 160 ปีแล้ว มีแบรนด์นาฬิกาจำนวนไม่มากที่จะมีโอกาสฉลอง 160 ปี มีบ้างแต่ไม่ได้มีหลายแบรนด์ และที่สำคัญคือมีแบรนด์เพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ได้ฉลอง 160 ปีในโรงงานแห่งเดิม แบบนี้ยิ่งพบได้ยากและพิเศษยิ่งขึ้นไปอีก เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็สามารถอธิบายถึงรากฐานที่มาและพื้นเพของตัวแบรนด์ได้แล้ว และนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ครับ
อะไรเป็นเรื่องที่ถือเป็นความท้าทายของ Zenith ในปัจจุบันนี้ครับ
การจัดจำหน่ายเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในอุคสาหกรรมนี้ สิ่งที่ Zenith ต้องมีและผมจะทำให้เกิดขึ้นก็คือการทำให้แบรนด์โดดเด่นและเข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น คนจะต้องเข้าถึงแบรนด์ของเราได้ และแบรนด์ของเราจะต้องมีความโดดเด่นมากขึ้น ณ จุดขาย ดังนั้นสิ่งที่ผมจะเปลี่ยนแปลงก็คือผมอาจจะลดจำนวนจุดขายลงเพื่อยกระดับความสัมพันธ์กับพาร์ทเนอร์ที่เรามีอยู่แล้ว เพราะว่าผมจะต้องการแบบใดล่ะ ผมจะอยากมีจุดขาย 2 จุดที่ขายได้จุดละ 10 เรือน หรือผมจะอยากมีจุดขายจุดเดียวที่ขายได้ 30 เรือน คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม ผมย่อมต้องการจุดขายจุดเดียวที่ขายได้ 30 เรือน ดังนั้นในเรื่องการจัดจำหน่าย เราจะต้องมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงบ้าง อย่างเช่นการเปิดบูติคร่วมกับพาร์ทเนอร์ของเรานี้ก็เป็นแนวทางที่แบรนด์ของเราจะพัฒนาต่อไปเช่นกัน
และขณะนี้เราก็นั่งอยู่ในบูติค Zenith แห่งแรกของประเทศไทยแล้ว
สำหรับเราแล้ว นี่คือเครื่องบ่งบอกว่าเราต้องการขอบคุณลูกค้าชาวไทย ทุกวันนี้ Zenith ขายดีในประเทศไทย และตลาดไทยก็กำลังเติบโต เราจึงอยากมอบประสบการณ์นี้ให้กับลูกค้าของเรา นี่คือการขอบคุณลูกค้าของเราร่วมกับพาร์ทเนอร์ของเราซึ่งก็คือ Pendulum และนี่ยังเป็นเครื่องยืนยันกับลูกค้าของเราด้วยว่าเราจะไม่จากไปไหน เราจะอยู่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณต่อไป ดังนั้นบูติคแห่งนี้จึงเป็นทั้งสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่ง ความสำเร็จและความขอบคุณของเราครับ
คุณพอจะบอกเล่าถึงแรงบันดาลใจเบื้องหลังการออกแบบหรือธีมของบูติคแห่งนี้ได้หรือไม่
อย่างแรกเลยก็คือสีฟ้าครับ เราใช้สีฟ้าเป็นสีหลัก ทำไมต้องเป็นสีฟ้า ก็เพราะว่าสีฟ้าเป็นสีของ Zenith ซึ่งอันนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง และเราต้องการสร้างบรรยากาศที่เรียบง่ายและดูสุขุม เราจึงเลือกใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาติอย่างเช่นที่เราใช้องค์ประกอบที่เป็นไม้และองค์ประกอบที่เป็นหิน สีเงินเองก็ไม่ใช่สีที่ทิ่มตา และเราต้องการให้ดีไซน์กับสีสันที่ปรากฏนั้นดูง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่ก็ไม่น่าเบื่อ ถ้าคุณสังเกตก็จะเห็นว่าการตกแต่งนั้นมีความมินิมอลมากๆ เราไม่ได้ต้องการอะไรที่ฟุ้งเฟ้อ คุณจะรู้สึกสบายใจ ไม่กดดัน เราไม่ได้ใช้สีสันอะไรมากมายจนดูเยอะไปหมดอย่างนั้น
คุณใส่นาฬิการุ่นอะไรมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ และเหตุใดจึงเลือกเป็นรุ่นนี้ครับ
ทริปนี้ผมใส่ Defy Skyline Chronograph ที่เปิดตัวในงาน Watches and Wonders ประการแรกเลยเพราะว่ามันเป็นนาฬิกาที่ขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งของเราในเวลานี้ และที่มันขายดีเพราะว่าสีมันสวยจริงๆ หน้าปัดก็อย่างที่คุณเห็นว่ามีลายดาวสี่แฉกอยู่บนพื้น ส่วนทางด้านหลังนั้นมีดาวห้าแฉกอยู่บนโรเตอร์ และคนรักนาฬิกาทุกคนย่อมอยากเห็นเครื่องนาฬิกาทางด้านหลังอยู่แล้ว อย่างที่ผมบอกว่าเครื่อง El Primero ของเรานั้นมีความสวยงาม นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผมเลือกใส่นาฬิการุ่นนี้ในวันนี้ครับ และถ้าคุณสังเกตที่ตัวเรือนก็จะเห็นว่ามันมีการออกแบบที่ลงตัวและรอบคอบ ข้อดีอีกประการหนึ่งของนาฬิการุ่นนี้ก็คือว่าคุณจะปรับแต่งนาฬิกาให้ดูเป็นทางการมากหรือน้อยอย่างไรก็ได้ และนี่เป็นสิ่งที่ผมชอบ อย่างในวันนี้ผมใส่สูทผมก็จะใส่นาฬิการุ่นนี้กับสายโลหะหรือสายหนัง แต่ถ้าตกบ่ายผมอยากไปสระว่ายน้ำ ผมก็เปลี่ยนเอาสายยางใส่ก็ได้ เหมือนว่าคุณซื้อนาฬิกาเรือนเดียวแต่ได้นาฬิกา 3 หรือ 4 เรือนในเวลาเดียวกัน และนี่คือความเอนกประสงค์ของนาฬิการุ่นนี้ครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง: Three Stealth Wealth Watch Brands to Know
We took the opportunity to have a meaningful discussion with new CEO Benoit de Clerck about what we can expect from Zenith under his guidance.
Words: Ruckdee Chotjinda
Zenith has been well represented in Thailand for longer than two decades, but for the very first time, they are having a standalone boutique of their own on M level of Siam Paragon. This well-conceived space reflects the brand’s “Time to Reach Your Star” philosophy with a central blue element that alludes to the night sky, while the Story Bar offers visitors the chance to explore Zenith’s rich history in the most interactive way possible. CEO Benoit de Clerck was in town for the opening ceremony. He took the position in January, bringing with him over 25 years of global experience in the industry. We engaged him in a long discussion over lunch, and we can say we are confident of the brand’s future.
What was the aspect of Zenith that impressed you the most before you joined the brand?
I have been in the watch industry for more than 25 years. I thought I knew Zenith. But when I came into the manufacture, it’s a complete brand new thing. Why? Because Zenith is so much richer, so much information, so much authentic than I thought. In fact, I didn’t know that Zenith was so rich in history, in culture, in design. It’s unbelievable. So I was really, really astonished and flabbergasted by the richness of the brand.
How would you explain to newcomers to the watch world the “Master of Chronograph” positioning of Zenith?
Zenith is definitely the Master of Chronograph. The El Primero is El Primero. Everybody knows about how we were the first one to create that chronograph, and most importantly, how successful it is. You know, for example, the particularity of the El Primero, it turns in 10 seconds instead of 60 seconds, and many other features. And this is why the craftsmanship is very important. And this is why we are the master of chronograph. That’s number one.
Number two, we offer a lot of technicality for the cost of the money. The production cost of an El Primero movement is expensive. It’s a very complicated movement to produce. And it takes a lot of time to produce, but we will not compromise on quality. And the quality comes from processes but from people as well. And that’s why our watchmakers have to go through a lot of training, a lot of years of training before being able to touch to the chronograph.
The triple calendar that we launched in January this year is a mere example of a complicated watch. The triple calendar is a big complication for a watchmaker and for a watch connoisseur and a watch collector. However, the cost is high, but the price is very low. That means that it gives you an entry point into a complicated watch. And very few brands in the industry do this. And we decided to keep it at an affordable, good price.
The Zenith logo of today is a five-pointed star. But the four-pointed star, which was used in certain periods in the past, continues to inform some design cues like the dial pattern of the Defy Skyline. What is the correct way to look at this?
It’s a very good question. So you are a connoisseur, right? The common denominator is the star, and this is what characterises Zenith, be it five-pointed or four-pointed. At the end of the day, it’s a star. Now has it four points or five points, that’s a different story. What defines that is history and timeline. And what we have done at the manufacture is to define from which period to which period. You see, for example, if you take the Revival. How many pointed star it has? Four. Why it has four? Because when this watch was created in 1970s, at that time, it has four stars. And depending on the model that we will recreate from the past, we will have the adaptation of the star. In the future, of course, we will capitalise on the star because the star is the main message.
What kind of new development or direction should we expect of Zenith under your guidance?
I will not create a revolution. That’s for sure. I will continue in the same. The brand is doing well. The novelties are selling very well. I’ll continue to capitalise on things that are working. Of course, I’ll add, like a chef de cuisine, you know, a little bit of arrangements and improve it where I can. The brand is very authentic, and I’ll continue on that. Those who have been privileged to visit the manufacture, they understand that the brand is real. We are celebrating next year our 160 years. Not a lot of brands can celebrate 160 years. Some do, but not many. But most importantly, not a lot of brands can celebrate 160 years in the same manufacture. That’s even more rare. That’s even more special. And this alone explains the pedigree and the nature of the brand. And this is very important.
What are the challenges Zenith faces today?
In the industry, distribution is very important. The distribution, what we need to have and what I will do at Zenith is to make sure that the brand is more visible and accessible as well. And this is very important for us to have the accessibility of the brand and to be visible at the point of sale. So what I will change, I will probably reduce the distribution to have a stronger partnership with the existing one. Because what do I want? Do I want to have two doors that do ten and ten or having one door that makes 30? You see what I mean? I prefer one door that makes 30, you understand? So, on the distribution level, there will be some improvement and some changes. Having a boutique, for example, with our partner is definitely the direction that the brand is taking and developing as well.
And here we are, in the first standalone boutique of Zenith in Thailand.
For us, it’s first of all a sign of gratitude, but as well a sign to thank our customers. Today, the brand is doing well in Thailand and the Thai market is growing and we want to make sure that we can give the experience to our customers. And this is a way to say thank you to our customers with our partner, Pendulum. And it’s a proof with our Zenith customers that we are here to stay. We are here to satisfy your request. So it’s really like a symbol of strength, success and thankfulness.
Please tell us more about the design inspiration or the theme being presented.
First, the blue, the predominance of the blue. Why the blue? Because blue is the colour of Zenith, so this will remain and this will not change. And what we wanted is to have something very simple and sober. We try to choose material that are, that are natural in the eyes. For example, we try to incorporate a lot of wood. We try to incorporate a lot of stone as well. You know, the silver colour is not, boom, in your face. We wanted to have that design and colour to be easy, not complicated, and not too boring. If you look at the decoration and all that, it’s very minimalistic as well. We don’t have too many things. So you feel good. It’s not oppressing. You don’t have colours all over the place and all that.
What is the watch you are wearing for this trip to Thailand? And why did you choose it?
I’m wearing the Defy Skyline Chronograph. It’s the launch of Watches and Wonders. First of all, it’s one of our bestsellers these days, and it’s doing very well because the colour is beautiful. The dial, you know, you have the four-pointed star on the dial, but in the back you have the five pointed star on the rotor. And then all watch lovers who appreciate movements like to see the back. And what I was telling you, that what’s peculiar about the El Primero is the beauty of the movement. And this is why I’m wearing that watch today. Then if you look at the case, it’s very, extremely well homogenised and well designed. You know, the beauty of that watch is you can dress it up and dress it down. And this is what I like. In this watch, for example, today I’m wearing a suit. I will wear it with the metal bracelet or a leather strap. But in the afternoon, if I’m going to the pool, I’m going to put my rubber strap. In fact, you buy one watch, but you get three or four watches at the same time. And that’s the particularity of the watch. Multiple purpose. Exactly.