Van Cleef & Arpels คว้า 3 รางวัลอันทรงเกียรติในงาน GPHG ปีนี้
บทความ: รักดี โชติจินดา
GPHG หรือ Grand Prix d’Horlogerie de Genève เป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจของอุตสาหกรรมนาฬิกาที่มีการประกาศผลทุกปีในเดือนพฤศจิกายน โดยคณะกรรมการชุดใหญ่กว่า 800 คนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะใช้แพลทฟอร์มออนไลน์โหวตคะแนนให้กับนาฬิกาที่เข้ารอบชิงรางวัลประเภทต่างๆ 15 ประเภท ประเภทละ 6 เรือนรวมทั้งหมด 90 เรือน บวกกับคะแนนจากคณะกรรมการชุดเล็กอีก 30 ท่านที่ต้องเดินทางไปยังสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ที่ผ่านมา Van Cleef & Arpels เคยได้รับรางวัล GPHG มาแล้วหลายครั้ง และในปีนี้ทางแบรนด์ก็สามารถคว้ารางวัลไปครองมากถึง 3 รางวัลซึ่งเป็นจำนวนรางวัลสูงสุดที่แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งจะสามารถรับได้ในแต่ละปี
รางวัลแรกคือ Artistic Crafts Watch Prize ที่มอบให้กับนาฬิกาที่ตกแต่งด้วยเทคนิคงานศิลป์อย่างน้อย 1 ชนิดซึ่งรางวัลนี้ตกเป็นของนาฬิการุ่น Lady Arpels Jour Enchanté หน้าปัดของนาฬิการุ่นนี้เป็นฉากยามเช้าที่เห็นดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าด้วยสเปสซาไทท์ แซฟไฟร์สีและเพชรแล้วมีการทอแสงทอดยาวด้วยชิ้นส่วนที่ผลิตจากเยลโลว์โกลด์ นางฟ้าไวท์โกลด์ทางด้านซ้ายกำลังบินเก็บดอกไม้ไปตามประสา สำหรับดอกไม้สีม่วงที่เห็นอยู่ทางด้านล่างนั้นสร้างขึ้นมาด้วยเทคนิคฟาซอนเน่เอนาเมลใหม่ของ Van Cleef & Arpels ซึ่งประสบความสำเร็จในการนำเอนาเมลมาขึ้นรูปด้วยมือจนดูมีมิติแล้วจึงประดับแซฟไฟร์สีเหลืองตรงกลาง อีกหนึ่งเทคนิคใหม่ที่ Van Cleef & Arpels ใช้ในนาฬิการุ่นนี้ก็คือการประดับเพชรลงในเนื้อพลิคอาจูร์เอนาเมลใสโดยตรงโดยไม่มีชิ้นส่วนที่เป็นโลหะช่วยบังคับ เราจะเห็นเทคนิคดังกล่าวได้ในใบไม้สีเขียวอ่อนและสีฟ้าอ่อนที่อยู่เหนือและใต้นางฟ้า รวมระยะเวลาการพัฒนาเทคนิคที่ใช้บนหน้าปัดนาฬิการุ่นนี้ 2 ปีและหน้าปัดแต่ละชิ้นจะต้องใช้เวลาในการประดิษฐ์นานถึง 180 ชั่วโมง
ต่อไปคือรางวัล Ladies’ Watch Prize ที่มอบให้กับนาฬิกาสำหรับสุภาพสตรีที่ไม่มีคอมพลิเคชั่นซับซ้อนและมีการประดับอัญมณีน้ำหนักรวมไม่เกิน 9 กะรัตซึ่งนาฬิกาที่คว้ารางวัลนี้ในปีนี้ไปได้ก็คือ Lady Jour Nuit ตัวเรือนไวท์โกลด์ขนาด 33 มม. ประดับเพชรเต็มพื้นที่ขอบตัวเรือน แถบด้านข้างตัวเรือนและขาตัวเรือน ฟังก์ชั่นหลักของนาฬิการุ่นนี้ก็คือการบอกว่าเวลานี้เป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืน โมดูลนี้ประกอบด้วยจานหมุนขนาดใหญ่ที่ผลิตด้วยแก้วอเวนจูรีนจากมูราโนซึ่งจะหมุนครบหนึ่งรอบในเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อให้สัญลักษณ์รูปดวงอาทิตย์ที่เป็นแผ่นทองแกะสลักด้วยเทคนิคกิโยเช่หรือสัญลักษณ์รูปดวงจันทร์ที่เกิดจากการประดับเพชรจนเต็มพื้นที่รูปทรงกลมผลัดกันปรากฏขึ้นมาจากหลังฉากเปลือกหอยมุกที่แกะสลักและลงสีน้ำเงินอย่างสวยงาม
และสุดท้ายคือรางวัล Ladies’ Complication Watch Prize ที่มอบให้กับนาฬิกาผู้หญิงที่มีคอมพลิเคชั่นสร้างสรรค์หรือซับซ้อนซึ่ง Van Cleef & Arpels ก็ชนะรางวัลนี้ตามความคาดหมายของหลายฝ่ายด้วยนาฬิการุ่น Lady Arpels Brise d’Été ชื่อของนาฬิการุ่นนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษแบบตรงตัวได้ว่า “summer breeze” บนหน้าปัดมีผีเสื้อไวท์โกลด์กับผีเสื้อเยลโลว์โกลด์ผลัดกันทำหน้าที่บอกชั่วโมงและนาทีโดยสังเขป และเมื่อคุณกดปุ่มบริเวณ 8 นาฬิกาของตัวเรือนไวท์โกลด์ขนาด 38 มม. โมดูลออโตมาตอนของนาฬิการุ่นนี้ก็จะทำงานทันทีโดยส่งให้ผีเสื้อทั้งสองบินรอบหน้าปัดจนครบหนึ่งรอบในเวลา 10 วินาทีก่อนที่จะมาหยุดที่ตำแหน่งเวลาที่ถูกต้องอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ดอกโคโรลล่าทั้งสามที่อยู่บนก้านดอกไม้สีเขียวก็จะเคลื่อนไหวไปมาราวกับกำลังลู่ลมเหมือนอยู่ในธรรมชาติจริงๆ และยังมีการใช้เทคนิคมิเนเจอร์เอนาเมลเพนท์ติ้งบนพื้นหน้าปัดเปลือกหอยมุกเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์แบบของฉากฤดูร้อนยามเช้าฉากนี้
แล้วเรามารอดูกันว่าในปีหน้า Van Cleef & Arpels จะออกนาฬิกาอะไรที่น่าประทับใจอีกบ้าง เพราะว่าผลงานจากแบรนด์นี้ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยสักปี
บทความที่เกี่ยวข้อง: Van Cleef & Arpels and the Oscars of Watchmaking
The maison is one of the only two brands to have won more than one prize this year.
Words: Ruckdee Chotjinda
The Grand Prix d’Horlogerie de Genève or GPHG is a prestigious annual award celebrating excellence in the watchmaking industry, with winners announced every November. The selection process involves more than 800 academy members across the globe who vote online for six nominated watches each in 15 categories or a total of 90 nominated watches. Their votes are combined with evaluations from a smaller jury of 30 experts who travel to Switzerland specifically for this event. Over the years, Van Cleef & Arpels has been a frequent recipient of GPHG accolades. For this latest edition, brand achieved an impressive haul of three awards: the maximum allowed for any single brand in a year.
The first award, the Artistic Crafts Watch Prize, honors watches that incorporate at least one artistic craft technique. This year’s winner was the exquisite Lady Arpels Jour Enchanté. It depicts an early morning scene with a radiant sun decorated by spessartites garnets, coloured sapphires, diamonds and long rays of yellow gold. The white gold fairy on the left goes about her chore of picking hand-sculpted purple enamel flowers that are realised with the new façonné enamel technique, developed by Van Cleef & Arpels, and set with yellow sapphires. Showcasing another new technique on this watch, diamonds are set directly into the translucent plique-à-jour without the help of metal components. You can see this in the light green and light blue leaves above and below the fairy. Two years went into the development of this dial, which required 180 hours to assemble.
The second award is the Ladies’ Watch Prize which recognizes women’s watches without intricate complications, and a maximum gemstone weight not exceeding 9 carats. It went to the Lady Jour Nuit with diamonds on the bezel, case band and lugs of the 33 mm white gold case. The distinguishing feature of this watch is the day/night indication. A large disc of Murano aventurine glass completes one revolution around the watch in 24 hours, indicating the day and the night with appropriately stylistic representations. To complete the setup, guilloche-engraved and blue-painted mother-of-pearl covers the lower half of the dial, masking the sun or the moon when it is time for the other to rise.
Finally, the Ladies’ Complication Watch Prize, celebrating women’s watches with creative or intricate complications, went to the Lady Arpels Brise d’Été, a victory that many in the industry had anticipated. The name “Brise d’Été” literally translates to “the summer breeze”. Two butterflies in white or yellow gold take turns to indicate the hour and the approximate minutes across a 180 degrees arch. The push of a button at the eight o’clock position of the 38 mm white gold case activates the automaton module of the watch, sending the two butterflies on a 10-second flight across the dial before stopping at the correct time. While this happens, the three corolla flowers on green stems gently sway to the tune of an imaginary breeze. A miniature enamel painting on a mother-of-pearl background completes this summer morning scene.
We eagerly await what Van Cleef & Arpels will unveil next year, as the brand consistently delights and surprises us with their remarkable creations.
See also: Van Cleef & Arpels and the Oscars of Watchmaking