ย้อนชมผลงานสร้างสรรค์ของ Van Cleef & Arpels ที่ได้รับรางวัลระดับโลกที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ออสการ์’ แห่งวงการนาฬิกา
บทความ: ชิดสุภางค์ ฉายวิโรจน์
บนโลกใบนี้ หากจะมีเมืองใดที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางแห่งการผลิตนาฬิกาชั้นสูงที่แท้จริง ก็คงจะหนีไม่พ้นเจนีวา เป็นแน่แท้ เมืองอันเงียบสงบริมทะเลสาบในสวิตเซอร์แลนด์แห่งนี้คือที่ตั้งของโรงงานแบรนด์นาฬิการะดับโลกมากมาย และเป็นที่ทำงานของช่างฝีมือและดีไซเนอร์จำนวนมาก ซึ่งทางเมืองเจนีวาเองก็มีการสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้มาอย่างแข็งขันโดยตลอด โดยมีทั้งการสร้างตราสัญลักษณ์ Poinçon de Genève ในปีค.ศ. 1886 เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความเป็นเลิศด้านการผลิตนาฬิกาชั้นสูง รวมถึงการรับหน้าที่ดูแลมูลนิธิ Grand Prix d’Horlogerie de Genève (GPHG) ที่ก่อตั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 เพื่อมอบรางวัลให้แก่ผลงานนาฬิกาที่โดดเด่นและเพื่อสนับสนุนศิลปะแห่งการผลิตนาฬิกาด้วย ในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกๆ ปี ทางมูลนิธิจะประกาศรายชื่อแบรนด์ที่ได้รับรางวัลสาขาต่างๆ รวมแล้วกว่า 20 รางวัล ซึ่งสำหรับแบรนด์นาฬิกาชั้นสูงแล้ว รางวัลนี้ถือเป็นรางวัลที่สูงส่งและมีคุณค่า จนเรียกได้ว่าเป็นเหมือนออสการ์แห่งวงการนาฬิกาเลยทีเดียว
และหนึ่งในขาประจำที่กวาดรางวัลจากเวทีนี้มาถึง 3 ปีซ้อนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นมาก็คือแบรนด์ Van Cleef & Arpels โดยในปี ค.ศ. 2020 ทางแบรนด์ได้รับรางวัลถึง 2 สาขา นั่นคือ Jewelry Watch จากนาฬิกา Frivole Secrète นาฬิกาแบบซีเคร็ทวอทช์ที่มีหน้าปัดฝังเพชรเรียงแถวจิกไข่ปลาซ่อนอยู่ใต้ตัวเรือนที่ออกแบบเป็นรูปกลีบดอกไม้ทองคำที่ขัดผิวขึ้นเงาราวกับกระจก รวมถึงสาขา Artistic Crafts Watch จากนาฬิกา Lady Arpels Soleil Féerique จากคอลเลคชั่น Extraordinary Dials โดยหน้าปัดสร้างสรรค์เป็นลายแสงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่องที่ผสมผสานเทคนิคลงยา พลิคอาจูร์เอนาเมลกับวัสดุล้ำค่าอย่างทองคำ มาเธอร์ออฟเพิร์ลสีขาว ลาพิส ลาซูลีและออนิกซ์ พร้อมนางฟ้าแสนสง่างามที่ทำจากทองคำขัดเงาวางตัวอยู่ด้านบนราวกำลังลอยอยู่ในอากาศ ส่วนหลังตัวเรือนนั้นอวดลายสลักเป็นเส้นรัศมีของดวงอาทิตย์
ต่อมาในปี ค.ศ. 2021 Van Cleef & Arpels ก็ได้รับรางวัลจากเวทีอันทรงเกียรตินี้อีกครั้ง ในสาขา Ladies’ Complication ที่เป็นรางวัลที่มอบให้กับนาฬิกาสำหรับผู้หญิงที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านการสร้างสรรค์กลไกและความซับซ้อน โดยนาฬิกาชนะรางวัลนี้ก็คือนาฬิกา Lady Féerie ที่สะท้อนถึงทักษะทั้งในด้านการสร้างสรรค์นาฬิกาและงานเครื่องประดับได้อย่างสวยงาม โดยหน้าปัดสีฟ้าไล่เฉดลายกิโยเช่ประดับด้วยมาเธอร์ออฟเพิร์ล ส่วนปีกของนางฟ้าที่อยู่ในโทนสีเดียวกันนั้นเป็นการผสมผสานเทคนิคพลิคอาจูร์เอนาเมลกับแบบกริซายย์ ซึ่งนี่นับเป็นครั้งแรกที่แบรนด์ใช้เทคนิคทั้งสองเทคนิคนี้ด้วยกันบนลวดลายหนึ่งเดียว ส่วนด้านหลังตัวเรือนนั้นเผยให้เห็นถึงโรเตอร์ที่สลักเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวงที่ส่องแสงอยู่กลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆและดวงดาว นาฬิการุ่นนี้มาพร้อมกับกลไกไขลานอัตโนมัติ พร้อมระบบบอกเวลาแบบรีโทรเกรดและจัมปิ้งอาวร์ โดยทั้งหมดบรรจุอยู่ในตัวเรือนที่บางเพียง 33 ม.ม. เท่านั้น
ปี ค.ศ. 2022 Van Cleef & Arpels ก็ได้รับรางวัล GPHG ในสาขา Innovation จากนาฬิกา Lady Arpels Heures Florales Cerisier ที่โดดเด่นเรื่องดีไซน์ การใช้อัญมณีล้ำค่าและทักษะฝีมือทางเชิงช่างแบบดั้งเดิม นาฬิการุ่นนี้ช่วยเติมสีสันให้การบอกเวลาดูงดงามราวกับการเดินเล่นในสวน โดยได้แรงบันดาลใจจากการออกแบบนาฬิกาดอกไม้หรือ Horologium Florae ของ Carl von Linné นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีดิช ที่ปรากฏในหนังสือ Phisosophia Botanica ในปี 1751 ที่ให้ดอกไม้เป็นเครื่องบอกเวลา โดยดอกไม้ทั้ง 12 ดอกบนหน้าปัดนาฬิกาจะผลัดกันหุบและบานเพื่อบอกเวลาหลักชั่วโมง ส่วนหลักนาทีนั้นใช้ระบบรีโทรเกรดที่อยู่ข้างๆ กรอบตัวเรือน

และอีกสาขาที่ได้รับในปีเดียวกันก็คือสาขา Mechanical Clock จากนาฬิกา Fontaine aux Oiseaux นาฬิกาตั้งโต๊ะหุ่นกลแสนสวยที่ผนวกงานกลจักรเคลื่อนไหวกับการแสดงเวลาแบบรีโทรเกรด โดยขนนกที่อยู่ที่ฐานของนาฬิกาจะเคลื่อนไหวเพื่อบอกเวลา เมื่อเคลื่อนตัวไปถึง 12 นาฬิกา ขนนกก็จะเคลื่อนตัวกลับไปที่จุดเริ่มต้นเพื่อบอกเวลาครึ่งหลังของวัน เมื่อกดให้กลไกทำงาน น้ำในบ่อก็จะเริ่มกระเพื่อม ดอกบัวก็จะเริ่มบาน และแมลงปอก็จะขยับปีก จากนั้นนกสองตัวที่เกาะอยู่ที่ขอบอ่าางก็จะเริ่มส่งเสียงและค่อนๆ เคลื่อนตัวเข้าหากัน ผลงานที่ทั้งสวยงามและซับซ้อนนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Van Cleef & Arpels และกลุ่มช่างฝีมือทั้งในฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งกลุ่ม Meilleur Ouvrier de France (Best French Craftsmen) และ Entreprise du Patrimoine Vivant (Living Heritage Company) โดยใช้เวลาสร้างสรรค์รวมแล้วถึง 25,200 ชั่วโมงเลยทีเดียว
แม้รางวัลที่ได้จะเป็นสาขาที่แตกต่างกันออกไป แต่หากพิจารณาดูแล้ว จะพบว่าผลงานของ Van Cleef & Arpels มีเอกลักษณ์ที่เหมือนกันชัดเจน นั่นคือความโดดเด่นด้านการเล่าเรื่อง ความเป็นเลิศด้านหัตถศิลป์ รวมถึงการผสานชั้นเชิงด้านการออกแบบเข้ากับวัสดุล้ำค่าและกลไกอันซับซ้อน ส่วนในปีนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าทางแบรนด์จะได้รางวัลสาขาไหนมาอีก
บทความที่เกี่ยวข้อง: Van Cleef & Arpels at The Top of the Secret Watches Game