Van Cleef & Arpels โชว์ชั้นเชิง ความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพอีกครั้งในงาน Watches and Wonders 2024
บทความ: รักดี โชติจินดา
Watches and Wonders Geneva กลับมาจัดงานในรูปแบบปกติเป็นได้เป็นปีที่ 3 แล้วหลังจากที่สถานการณ์โควิดคลี่คลาย และทุกปีเราก็ได้เห็นผู้คนจำนวนมากเดินเข้าไปชมสิ่งต่างๆ ที่จัดแสดงอยู่ภายในบูธของ Van Cleef & Arpels โดยทุกคนต่างก็มีความอยากรู้อยากเห็นว่าแบรนด์นี้เขาจะมีอะไรออกมาทำให้ตนรู้สึกประหลาดใจอีก เพราะว่างานนาฬิกาของแบรนด์นี้มีสไตล์และคอนเซปท์ที่แตกต่างจากเรือนเวลาทั่วไปในวงการอย่างชัดเจน ผลงานแต่ละชิ้นของ Van Cleef & Arpels นั้นเป็นดั่งบทกวีที่บอกเล่าเรื่องราวของธรรมชาติ ฟากฟ้าและดวงดาว ตลอดจนสิ่งอื่นๆ อันเป็นที่สนใจของผู้ก่อตั้งแบรนด์ในยุคเริ่มแรก
เราเองก็อยากรู้เช่นกันว่า Van Cleef & Arpels จะออกอะไรใหม่ และเราก็รู้ด้วยว่าถ้าเราไปตอนสายหรือตอนบ่ายจะมีคนเต็มบูธจนเดินไม่สะดวก เราจึงจงใจทำให้ Van Cleef & Arpels เป็นนัดหมายแรกของเราก่อนที่คนอื่นๆ จะมากันเต็มไปหมด และเราก็ได้พบกับผลงานคู่หนึ่งที่จัดแสดงอยู่กลางสวนจำลองได้อย่างน่าสะดุดตา นั่นก็คือ Lady Arpels Jour Enchanté และ Lady Arpels Nuit Enchantée ตัวเรือนไวท์โกลด์ขนาด 41 มม. ทั้งคู่
Lady Arpels Jour Enchanté เป็นฉากยามเช้าที่เห็นดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าด้วยสเปสซาไทท์ แซฟไฟร์สีและเพชรแล้วมีการทอแสงทอดยาวด้วยชิ้นส่วนที่ผลิตจากเยลโลว์โกลด์ นางฟ้าไวท์โกลด์ทางด้านซ้ายกำลังบินเก็บดอกไม้ไปตามประสา สำหรับดอกไม้สีม่วงที่เห็นอยู่ทางด้านล่างนั้นสร้างขึ้นมาด้วยเทคนิคฟาซอนเน่เอนาเมลใหม่ของ Van Cleef & Arpels ซึ่งประสบความสำเร็จในการนำเอนาเมลมาขึ้นรูปด้วยมือจนดูมีมิติแล้วจึงประดับแซฟไฟร์สีเหลืองตรงกลาง อีกหนึ่งเทคนิคใหม่ที่ Van Cleef & Arpels ใช้ในนาฬิการุ่นนี้ก็คือการประดับเพชรลงในเนื้อพลิคอาจูร์เอนาเมลใสโดยตรงโดยไม่มีชิ้นส่วนที่เป็นโลหะช่วยบังคับ เราจะเห็นเทคนิคดังกล่าวได้ในใบไม้สีเขียวอ่อนและสีฟ้าอ่อนที่อยู่เหนือและใต้นางฟ้า รวมระยะเวลาการพัฒนาเทคนิคที่ใช้บนหน้าปัดนาฬิการุ่นนี้ 2 ปีและหน้าปัดแต่ละชิ้นจะต้องใช้เวลาในการประดิษฐ์นานถึง 180 ชั่วโมง
ทางด้าน Lady Arpels Nuit Enchantée นั้นก็เป็นการเผยให้เห็นอิริยาบถในมุมส่วนตัวของนางฟ้าของเราในยามค่ำคืน หน้าปัดของนาฬิการุ่นนี้ได้รับการเนรมิตให้ดูเหมือนถ้ำของนางฟ้าด้วยการใช้แซฟไฟร์สีชมพูและสีม่วง เว้นว่างพื้นที่บริเวณตำแหน่ง 10 นาฬิกาเพื่อวาดภาพดวงจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยเทคนิคกริซายล์เอนาเมล ส่วนนางฟ้าไวท์โกลด์ของเรานั้นก็หลับใหลอยู่บนพื้นที่ปูด้วยดอกไม้ฟาซอนเน่เอนาเมลสีม่วงประดับแซฟไฟร์สีเหลืองที่ทอดยาวไปจนถึงหน้าปัดบอกเวลาที่ทำจากร็อคคริสตอลและประดับหลักชั่วโมงโรสโกลด์เพื่อความชัดเจน นาฬิกาทั้งสองรุ่นนี้ทำงานด้วยเครื่องนาฬิกาจักรกลแบบไขลานทั้งคู่
จากนั้น Van Cleef & Arpels ยังคงเล่นธีมกลางวันและกลางคืนอย่างต่อเนื่องด้วยนาฬิกาอีกคู่หนึ่ง คือ Lady Arpels Jour Nuit ตัวเรือนไวท์โกลด์ขนาด 38 มม. และ Lady Jour Nuit ตัวเรือนไวท์โกลด์ขนาด 33 มม. ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลคชั่น Poetic Complications ที่เน้นเรื่องการใช้เทคนิคการประดิษฐ์นาฬิกาจักรกลเพื่อตอบโจทย์ในการบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นคอนเซปท์สำคัญของนาฬิกา อย่างในกรณีของนาฬิกาทั้งสองรุ่นนี้ ฟังก์ชั่นหลักก็คือการบอกว่าเวลานี้เป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืนด้วยการใช้จานหมุนขนาดใหญ่ที่ผลิตจากแก้วอเวนจูรีนจากมูราโนที่จะหมุนครบหนึ่งรอบในเวลา 24 ชั่วโมง บนจานหมุนนี้จะมีสัญลักษณ์รูปดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่ผลัดกันขึ้นมาทำหน้าที่จากทางด้านหลังฉากที่เป็นแผ่นเปลือกหอยมุกแกะสลัก ลวดลายการแกะสลักแผ่นเปลือกหอยมุกของนาฬิกาทั้งสองรุ่นนี้มีรายละเอียดที่ต่างกัน และแผ่นเปลือกหอยมุกของรุ่นเล็กจะมีการลงสีเป็นสีน้ำเงินด้วย
นาฬิกาข้อมือรุ่นสุดท้ายที่ Van Cleef & Arpels นำเสนอให้เราได้ชมมีชื่อว่า Lady Arpels Brise d’Été ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษแบบตรงตัวได้ว่า “summer breeze” เมื่อมองเผินๆ ก็จะดูเหมือนกับนาฬิกาธีมธรรมชาติตามปกติของ Van Cleef & Arpels และมีผีเสื้อไวท์โกลด์กับผีเสื้อเยลโลว์โกลด์ผลัดกันทำหน้าที่บอกชั่วโมงและนาทีโดยสังเขป แต่ขึ้นชื่อว่าเป็น Van Cleef & Arpels ก็ย่อมไม่มีอะไรธรรมดาอยู่แล้ว เพียงคุณกดปุ่มบริเวณ 8 นาฬิกาของตัวเรือนไวท์โกลด์ขนาด 38 มม. โมดูลออโตมาตอนของนาฬิการุ่นนี้ก็จะทำงานทันทีโดยส่งให้ผีเสื้อทั้งสองบินรอบหน้าปัดจนครบหนึ่งรอบในเวลา 10 วินาทีก่อนที่จะมาหยุดที่ตำแหน่งเวลาที่ถูกต้องอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ดอกโคโรลล่าทั้งสามที่อยู่บนก้านดอกไม้สีเขียวก็จะเคลื่อนไหวไปมาราวกับกำลังลู่ลมเหมือนอยู่ในธรรมชาติจริงๆ เฉดสีฟ้าอาซูร์ของดอกโคโรลล่านั้นเกิดจากเทคนิควาโลนเนเอเนเมล และเกสรดอกไม้สีเหลืองนั้นก็คือสเปสซาไทท์ที่ประดับไว้ แล้วยังมีการใช้เทคนิคมิเนเจอร์เอนาเมลเพนท์ติ้งบนพื้นหน้าปัดเปลือกหอยมุกเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์แบบของฉากฤดูร้อนยามเช้าฉากนี้
ก่อนจากกัน Van Cleef & Arpels ได้สาธิตการทำงานของออโตมาตอนจักรกลอันน่าทึ่งในชื่อ Apparition des Baies ให้เราและแขกผู้มาเยือนท่านอื่นๆ ได้ชม สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้มีขนาดสูงราว 27 ซม. และกว้างราว 21.5 ซม. โดยพื้นฐานแล้ว Apparition des Baies เป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะกำลังลานสำรอง 8 วันแต่ว่านาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงบอกเวลาเท่านั้น เมื่อสั่งให้เครื่องทำงาน ใบไม้โรสโกลด์เคลือบแลคเกอร์สีเขียวที่เห็นทางด้านบนจะค่อยๆ เปิดออกแล้วหันเรียงตัวเป็นแนวนอนเพื่อเผยให้เห็นนกไวท์โกลด์ประดับแซฟไฟร์สีน้ำเงินตัวน้อยที่ซ่อนอยู่ข้างในกับลูกแบรี่จำนวนหนึ่งที่เป็นสปิเนลสีแดง และนกตัวนี้ก็จะกระพือปีกเพื่อบินขึ้นลงและหมุนไปมาเป็นจังหวะดูสมจริง
เมื่อจบการแสดงประกอบเสียงดนตรีนี้แล้ว ใบไม้ทั้งหมดจะค่อยๆ หมุนเอียงกลับขึ้นในแนวตั้งแล้วหุบลงมาครอบปิดบังตัวนกเหมือนตอนเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เราไม่เห็นนกน้อยและลูกแบรี่ของเขาจนกว่าจะถึงเวลาโชว์ครั้งต่อไป กลไกสุดซับซ้อนที่ทำหน้าที่ขยับชิ้นส่วนทั้งหมดนี้ถูกซ่อนอยู่ข้างในตัวเรือนซึ่งผลิตจากดัลเมเชียนแจสเปอร์ และออโตมาตอน Apparition des Baies ชิ้นนี้ก็จะมีการผลิตเพียงแค่ชิ้นเดียวในโลก จึงจะมีบุคคลเพียงคนเดียว (หรือครอบครัวเดียว) ในโลกเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง
โดยรวมแล้วเราบอกได้เลยว่านี่เป็นอีกปีหนึ่งที่ Van Cleef & Arpels มาแบบท็อปฟอร์มมากๆ เพราะทางแบรนด์สามารถบอกเล่าเรื่องราวในจินตนาการได้ด้วยการผสมผสานงานฝีมือเชิงศิลป์และความเชี่ยวชาญทางด้านกลไกได้อย่างลงตัว แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ Van Cleef & Arpels ก็ต้องใช้เวลานานนับปีหรือหลายปีในการพัฒนาผลงานบางชิ้น เพราะนอกจากจะต้องมีการวางแผนแล้วยังต้องมีการทดลองผลิตและปรับแต่งด้วยความร่วมมือของแผนกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจนกว่าทุกสิ่งจะลงตัวแบบสมบูรณ์แบบ และเราต้องไม่ลืมด้วยว่านาฬิกาหรือออโตมาตอนของ Van Cleef & Arpels จะต้องมีการเคลื่อนไหวที่อ่อนช้อย แม้จะเป็นจักรกลแต่ก็ไม่ดูแข็งเป็นหุ่นยนต์ เพราะความเป็นธรรมชาติสมจริงนั้นเองคือปัจจัยที่จะสะกดให้ผู้คนเกิดความหลงใหลจนกลายเป็นคุณลูกค้าที่ได้ครอบครอง จนทำให้ญาติมิตรเพื่อนฝูงคนใกล้ชิดของตนะได้ร่วมชื่นชมความพิเศษของสิ่งสร้างเหล่านี้ด้วย เรายังมีข้อมูลเบื้องหลังการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Van Cleef & Arpels จะมาเล่าสู่กันฟังอีก เมื่อกลับถึงกรุงเทพแล้วเราจะเริ่มนำข้อมูลดังกล่าวนั้นมาเรียบเรียง คาดว่าจะได้นำมาเผยแพร่กันต่อไปช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง: Van Cleef & Arpels and the Oscars of Watchmaking
The maison continues to fascinate watch lovers with a unique combination of artistry and technicality.
Words: Ruckdee Chotjinda
Ever since the first edition of Watches and Wonders Geneva post-pandemic, the Van Cleef & Arpels booth has become known as a mythical place everyone must step inside, either out of sheer sense of curiosity or to allow the soul to find relief from repetition of straight forward watchmaking. Here, the timepieces proffered are an immaculate marriage of watchmaking and jewelry. They are a form of poetry that alludes to nature, astronomy and a couple of other subjects that were dear to the brand’s founders.
We are not an exception. Knowing that the booth will be completely packed later in the day, we made Van Cleef & Arpels our very first visit before the arrival of the crowd. A pair of creations stood out in a dedicated showcase halfway into their indoor garden of enchantment. They are the Lady Arpels Jour Enchanté and the Lady Arpels Nuit Enchantée, both in a 41 mm white gold case.
The first watch depicts an early morning scene with a radiant sun decorated by spessartites garnets, colored sapphires, diamonds and long rays of yellow gold. The white gold fairy on the left goes about her chore of picking hand-sculpted purple enamel flowers that are realized with the new façonné enamel technique, developed by Van Cleef & Arpels, and set with yellow sapphires. Another new technique showcased on this watch is the setting of diamonds directly into the translucent plique-à-jour without the help of metal components. You can see this in the light green and light blue leaves above and below the fairy. Two years went into the development of this dial which require 180 hours to assemble.
Meanwhile, the Lady Arpels Nuit Enchantée watch gives us a glimpse into the life of our dear fairy at night. On the dial of this watch, pink and purple sapphires form the interior of her cave, with a small opening around the 10 o’clock position where grisaille enamel technique is used to render the moon and the stars on a night sky. Our white gold fairy rests under the moonglow, on a bed of yellow sapphire-set purple façonné enamel flowers that terminates just below the rock crystal dial with rose gold hour markers. A hand-winding, mechanical movement powers both the Lady Arpels Jour Enchantée and the Lady Arpels Nuit Enchantée watches.
Continuing with the day and night theme are the Lady Arpels Jour Nuit watch in a 38 mm white gold case and the Lady Jour Nuit watch in a 33 mm case in white gold case. These novelties belong to the Poetic Complications collection where mechanical watchmaking techniques are used in service of storytelling. In these particular cases, a large disc of Murano aventurine glass completes one revolution around the watch in 24 hours, indicating the day and the night with appropriately stylistic representations. To complete the setup, a guilloché engraved mother-of-pearl is used to cover the lower half of the dial, masking the sun and the moon when it is time for the other to rise. Engraving patterns differ on the mother-of-pearl components on these two timepieces, and that of the smaller watch is also painted blue.
The last wristwatch presented to us is the Lady Arpels Brise d’Été, literally the “summer breeze”. From the initial look, it may seem like a typical, nature-themed Van Cleef & Arpels with two butterflies in white or yellow gold taking turn to indicate the hour and the approximate minutes across a 180 degrees arch, but nothing ever really is “typical” at this maison. With the push of the button at the eight o’clock position of the 38 mm white gold case, the automaton module of the watch is activated, sending the two butterflies on a 10-second flight across the dial before stopping at the correct time. While this happens, the three corolla flowers on green stems gently sway to the tune of an imaginary breeze – their realistic azure shades are realized by the vallonné enamel technique, and their pistils are represented by spessartite garnet. Miniature enamel painting on mother-of-pearl background completes this summer morning scene.
Lastly, Van Cleef & Arpels demonstrated the magical artistry of the Apparition des Baies automaton for the collective viewing pleasure of every visitor present. Measuring approximately 27 cm in height and approximately 21.5 cm in width, this wondrous machine is a clock with eight days of power reserve that does much more than telling the time. Once the automaton is activated, the rose gold leaves with green lacquered finish open up and rotate into horizontal position, revealing the blue sapphire-set white gold bird on top of some red spinel berries. This bird would go up and down and turn around on his own axis, flapping its wings every now and then in a lifelike motion.
At the end of the repertoire which is accompanied by a melodic tune, the leaves slowly rotate up and fold back into the closing position, hiding the bird and its berries until the next on-demand performance. The sophisticated mechanisms responsible for all these motions are perfectly hidden within the dalmatian jasper structure of the automaton. The Apparition des Baies is a unique piece and only one person (or family) in the world will get to own it.
All in all, we would say that this is another strong year for Van Cleef & Arpels. These intricate works that tell of a story through a combination of artistic and mechanical expertise can never be created on a whim. They require years of planning and testing among relevant departments until perfection is achieved. You have to appreciate also that any animation on a Van Cleef & Arpels watch or automaton can never be robotic – it has to be as natural and fluid as mechanically possible in order to capture the heart and soul of the discerning clientele and the privileged few around them who will get to see these products in a real-world setting. We have more behind-the-scene information to share about the research and development process at this fantastic maison once we return to Bangkok. Please expect that next article in the first week of May.
See also: Van Cleef & Arpels and the Oscars of Watchmaking