Ulysse Nardin สานต่อตำนานนาฬิกา Freak ด้วย Freak One ใหม่ในตัวเรือนไทเทเนียมขนาด 44 มม.
บทความ: WOW Singapore
คุณฌอง-คริสตอฟ ซาบาติเยร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Ulysse Nardin กล่าวในการสนทนากับเราว่า “Freak ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเมนสตรีม และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ซื้อทั่วไป คนที่จะสนใจใน Freak คือคนที่บางครั้งมีรสนิยมที่ไม่เหมือนใคร ล้ำสมัยนิดๆ และกล้าที่จะแตกต่าง” คำพูดดังกล่าวอาจฟังดูเหมือนเป็นประโยคจากแคมเปญโฆษณาก็ได้ แต่ว่าไม่มีอะไรเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะว่า Freak เป็นนาฬิกาที่พลิกโฉมวงการนาฬิกาและผลักดันให้อุตสาหกรรมนี้เคลื่อนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง
Freak ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2001 นั้นเป็นโปรเจคลูกรักของคุณรอล์ฟ ชไนเดอร์ ผู้ล่วงลับซึ่งเมื่อก่อนนั้นเป็นเจ้าของแบรนด์นาฬิกา Ulysse Nardin และ ดร. ลุดวิก เอิชลิน ซึ่งเป็นทั้งช่างนาฬิกาและนักฟิสิกส์ผู้มากความสามารถ โดย Freak นั้นเป็นผลงานที่ผู้คนกล่าวถึงกันเป็นอย่างมาก เพราะว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวทางการประดิษฐ์นาฬิกาที่มีมานานหลายศตวรรษโดยสิ้นเชิง จนเกิดเป็นเรือนเวลาในแบบที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน กล่าวคือ เป็นนาฬิกาที่ดูล้ำสมัยและไม่มีหน้าปัดที่จะมาบดบังการทำงานอันซับซ้อนของเครื่องนาฬิกาที่อยู่ข้างล่าง ไม่มีเข็มเพื่อชี้บอกชั่วโมงและนาที และที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือไม่มีเม็ดมะยมเพื่อใช้ขึ้นลานและตั้งเวลา
Ulysse Nardin สานต่อตำนานบทดังกล่าวในปีนี้ด้วยนาฬิการุ่น Freak One ตัวเรือนไทเทเนียมขนาด 44 มม. ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการนำนาฬิการุ่นเก่ากลับมาทำใหม่ แต่ว่าเป็นการนำเอานวัตกรรมต่างๆ ที่ Ulysse Nardin ได้พัฒนาขึ้นในช่วง 20 ปีที่แล้วจนเป็นที่มาของสิทธิบัตรมากกว่า 20 ใบมาประกอบกันใน Freak One รุ่นนี้
Freak One ใช้แฮร์สปริงแบบซิลิคอนและมีเอสเคปเมนท์ที่เคลือบด้วยกระบวนการไดมอนซิลเพื่อประสิทธิภาพที่เหนือชั้น ระบบการขึ้นลานอัตโนมัติไกรน์เดอร์ที่ใช้ขึ้นลานจนเต็ม 90 ชั่วโมงเป็นระบบที่มาจากนาฬิการุ่น Freak Vision ซึ่งประกอบด้วยชิ้นส่วนลักษณะแผ่นบางจำนวน 4 แผ่นที่สามารถสร้างพลังงานได้จากการเคลื่อนไหวข้อมือเพียงเล็กน้อย แต่ในเรื่องของรูปลักษณ์นั้น Freak One มีเกียร์เทรนแบบเปิดเหมือนกับ Freak Cruiser และใช้ตัวเรือนที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนจำนวน 57 ชิ้นของ Freak S อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีการนำองค์ประกอบจากนาฬิกาหลายรุ่นมาประกอบกันแต่ Freak One ก็เป็นนาฬิกาที่ดูดีในแบบของตนเอง ทั้งยังมีความลงตัวในเรื่องของสัดส่วนและงานขัดแต่งอย่างไม่ต้องสงสัย
บนระดับชั้นล่างสุดของเครื่องนาฬิกานั้นเป็นแบเรลสีดำซึ่งจะหมุนครบหนึ่งรอบในเวลา 12 ชั่วโมงและทำหน้าที่บอกชั่วโมงไปในตัวด้วยสัญลักษณ์หัวลูกศรที่มีการเคลือบสารเรืองแสงซุปเปอร์ลูมิโนว่า ถัดขึ้นไปเป็นบริดจ์นาทีที่เผยให้เห็นชุดเกียร์เทรนอันประกอบด้วยซิลิคอนออสซิเลเตอร์อันน่าทึ่งและออร์บิทอลฟลายอิ้งคารูเซลตูร์บิยองของนาฬิการุ่นนี้ ชุดเกียร์เทรนนี้ยังทำหน้าที่แสดงค่านาทีด้วย และคนรักนาฬิกาทุกคนที่หลงใหลในระบบจักรกลก็สามารถมองเห็นการทำงานของระบบเกียร์เทรนทั้งระบบได้จากจุดนี้
การตั้งเวลาของ Freak One สามารถทำได้ผ่านทางขอบหมุนซึ่งจะหมุนตัวเครื่องนาฬิกาทั้งเครื่องเลย และมีตัวล็อคอยู่ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาเพื่อป้องกันไม่ให้ขอบตัวเรือนถูกหมุนโดยไม่ตั้งใจ เมื่อต้องการจะตั้งเวลาก็เพียงยกตัวล็อคขึ้น เมื่อตั้งเวลาเสร็จก็กดตัวล็อคลง คุณซาบาติเยร์บอกเราว่า Freak One ได้รับชื่อนี้เพราะทางแบรนด์ตั้งใจให้เรือนเวลารุ่นนี้เป็นดั่ง “เดอะวัน” ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของตำนานกว่า 20 ปีของคอลเลคชั่น Freak และ Ulysse Nardin ก็ประสบความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายนั้นทุกประการ
บทความที่เกี่ยวข้อง: Ulysse Nardin Delivers a New Diver X Skeleton in White
The 44 mm titanium watch presents the very best of the collection’s legacy.
Words: WOW Singapore
As Ulysse Nardin’s Chief Product Officer Jean-Christophe Sabatier noted in a conversation with us: “The Freak is not a mainstream product, and it’s not for mainstream people. The type of people who are interested in the Freak are people who are, from time to time, alone in terms of taste, a bit avant-garde, and they dare to be different.” While Sabatier’s words could fit in quite nicely in an advertising campaign, they are not hyperbolic in the least. How can they be when the watch is reputed to have singlehandedly ushered in a new era of watchmaking, thrusting it into the 21st century?
Introduced in 2001, the aptly named Freak was the brainchild of Ulysse Nardin’s late owner Rolf Schnyder and prodigious watchmaker and physicist Dr. Ludwig Oechslin, and it made headlines for turning centuries-old horology conventions on its head, resulting in something that the world had never seen before. Its avant-garde looks brimmed with revolutionary technologies that allowed it to be bereft of the very things that made a wristwatch. There was no dial to hide the complex inner workings of its movement, no hands to point out the hours and the minutes, and, most astoundingly, no crown to wind the watch or set the time.
This year sees Ulysse Nardin continuing the legend of its horological oddity with a fitting new chapter to encapsulate the collection’s rich heritage: The Freak One, which presents the best of its two-decade-long history in a 44 mm titanium case. However, it would be remiss to think of the Freak One as just a remake. Ulysse Nardin has filed more than 20 patents in the last 20 years or so of the collection’s existence, and this latest creation embodies the best of that heritage.
The Freak One is regulated by a silicon hairspring, and features an escapement that has been treated with DIAMonSIL for heightened performance. From Freak Vision comes the patented automatic Grinder winding system with a 90-hour power reserve and added energy-capturing efficiency, thanks to the oscillator’s connection to four blades that transform even the slightest wrist movement into energy. The Freak Vision’s comparatively minimalist face and clean legibility codes also acquit themselves favourably here, accompanied by the open gear train of Freak Cruiser, and the 57-component case construction of Freak S. As piecemeal as this may sound, a quick glance is all it takes to convince that the Freak One is no Frankenstein’s monster. Instead, it is a palimpsest of highlights with well-thought-out proportions and exceptional finishes resulting in a whole that is greater than the sum of its parts.
Beneath its movement lies the black engraved barrel cover that makes a full rotation every 12 hours. This allows it to double up as the hour indicator with a SuperLuminova pointer. Above this lies the minute bridge that supports the exposed gear train, the dramatic silicon oscillator, and the orbital flying carrousel tourbillon. The entire movement gear train effectively indicates the minutes. One can see for oneself how the entire system works by simply observing the watch as it marks the minutes, which is a marvel for enthusiasts of mechanical systems.
As for the watch’s groundbreaking time-setting system, it is operated through the bezel, which rotates the entire movement when it is turned. A lock at the 6 o’clock position prevents the bezel from unintended movements: Lift the lock to release the setting system before pressing it back down to lock it into place once the time has been set. As Sabatier tells us, the Freak One was so named because the brand intended it to be “the one” that epitomises the Freak legend with 20 years of innovations to its name. The brand has made good on that promise.
See also: Ulysse Nardin Delivers a New Diver X Skeleton in White
