จุดประกายความคึกคักในวงการนาฬิกาด้วยผลงานรุ่นใหม่ล่าสุดจากหกแบรนด์ระดับท็อปของ Swatch Group
บทความ: รักดี โชติจินดา
ตั้งแต่ที่ Swatch Group ประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วว่าจะไม่เข้าร่วมงาน Baselworld ก็ทำให้เกิดการคาดเดากันมากมายว่าเครือนี้จะเดินหมากไปในทิศทางใดต่อ หรือจะนำเสนอนาฬิกาใหม่ของปี ค.ศ. 2019 อย่างไรหากไม่อยู่ในงาน Baselworld จากนั้นก็เริ่มมีความชัดเจนเมื่อนักข่าวจำนวนหนึ่งได้รับอีเมลเทียบเชิญให้มาร่วมงานชื่อ Time to Move ระหว่างวันที่ 14-16 พฤษภาคม
World of Watches/Luxuo Thailand รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นสื่อหนึ่งในจำนวนเพียงไม่ถึง 200 รายจากทั่วโลกที่ได้มาร่วมงาน Swatch Group: Time to Move ครั้งที่หนึ่งนี้ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเผยโฉมนาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดของหกแบรนด์ระดับไฮเอ็นด์ของ Swatch Group ที่โรงงานของแต่ละแบรนด์โดยตรง (ยกเว้น Glashütte Original ซึ่งอยู่ที่เยอรมนี) เราจะทยอยเขียนเรื่องนาฬิการุ่นต่างๆ ในช่วงเวลาหลายสัปดาห์จากนี้ไป แต่ในบทความนี้เราขอเริ่มต้นเพียงแบรนด์ละหนึ่งถึงสองรุ่นก่อน เรียงตามลำดับจริงในการเดินทางทั้งสามวันนั้นของเรา
GLASHÜTTE ORIGINAL
Swatch Group วางแผนสำหรับงานนี้มาเป็นอย่างดีโดยแบ่งนักข่าวเป็นหกกลุ่ม แต่ละกลุ่มไปเยือนแบรนด์ต่างๆ ทั้งหก วันละสองแบรนด์ในเวลาสามวันจนครบหกแบรนด์ แบรนด์แรกในตารางของเรานั้นเป็นแบรนด์เยอรมันที่ว่า นั่นก็คือ Glashütte Original ซึ่งเลือกใช้โรงแรม Starling Hotel ใกล้กับสนามบินเจนีวาเพื่อเป็นที่รับนักข่าวทั้งหมด ภายในห้องมีตู้โชว์นาฬิกาแบ่งเป็นโซนตามคอลเลคชั่น และมีโต๊ะสาธิตการทำงานประกอบชิ้นส่วนขนาดเล็กของช่าง การผลิตหน้าปัดนาฬิกา การทดสอบนาฬิกาเรือนต้นแบบและนาฬิกาที่ผลิตจริงก่อนส่งออกไปขาย ทั้งหมดนี้ย่อมเทียบเท่าการไปสัมผัสบรรยากาศในโรงงานไม่ได้ แต่ก็ถือว่าดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
การทดสอบหนึ่งที่ Glashütte Original เน้นเป็นพิเศษก็คือระบบการกันน้ำของนาฬิกาเพราะว่าปีนี้ทางแบรนด์มีการเปิดคอลเลคชั่นนาฬิกาใหม่ชื่อ SeaQ ซึ่งเป็นการนำเอานาฬิกาดำน้ำรุ่น Spezimatic จากปี ค.ศ. 1969 กลับมาในวาระครบรอบ 50 ปีพอดี นาฬิกา SeaQ นี้มีด้วยกันสองแบบ ได้แก่ SeaQ ขนาด 39.5 มม. ซึ่งถอดแบบมาจากนาฬิกา Spezimatic ที่ว่านั้น และนาฬิกา SeaQ Panorama Date ขนาด 43.2 มม. ซึ่งเลือกใช้ตัวเลขชั่วโมงและเข็มดีไซน์เดียวกัน แต่เพิ่มเติมฟังก์ชั่นหน้าต่างวันที่ขนาดใหญ่เข้ามาบริเวณตำแหน่งห้านาฬิกา ทุกรุ่นกันน้ำได้ 200 เมตร
HARRY WINSTON
บ่ายวันเดียวกันนั้นเอง เราได้ไปโรงงาน Harry Winston ในนิคมอุตสาหกรรมปล็องส์เลซ็วตส์ชานเมืองเจนีวา แบรนด์จิวเวลรี่ดังนี้เริ่มกิจการนาฬิกาเมื่อปี ค.ศ. 1989 แต่อาคารแห่งนี้เพิ่งมาสร้างภายหลังในปี ค.ศ. 2007 ที่นี่มีพนักงานทั้งหมด 180 คน มีทั้งช่างนาฬิกา ช่างจิวเวลรี่ ช่างประดับอัญมณี ช่างศิลป์แขนงอื่นๆ และพนักงานฝ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการ ทั้งหมดร่วมกันผลิตเรือนเวลาสุดพิเศษรุ่นต่างๆ เพื่อนำส่งบูติคทั้งหมด 48 แห่งทั่วโลก
ปกติเวลาเราได้พบกับ Harry Winston ที่ Baselworld ก็จะได้ดูนาฬิกาใหม่จำนวนไม่กี่รุ่น แต่ในครั้งนี้เราได้เห็นและสัมผัสนาฬิกาจำนวนมาก นอกจาก Histoire de Tourbillon 10 ที่มีตูร์บิยองสี่ตัวแล้วก็ยังมี Project Z12 รุ่นใหม่ตัวเรือนโรสโกลด์ แต่ที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ความซับซ้อนในเชิงเทคนิคก็คือความงามในเชิงศิลปะของ Premier Precious Peacock Automatic 36 mm ซึ่งต้องอาศัยฝีมือของช่างโมเสกจากเมืองราเวนนา ประเทศอิตาลี ที่บรรจงเรียงแก้วมูราโนทีละชิ้นจนเกิดเป็นลวดลายที่วิจิตรเช่นนี้ นาฬิกา Peacock มีสองรุ่นด้วยกัน ได้แก่ รุ่นตัวเรือนไวท์โกลด์ หน้าปัดโทนสีน้ำเงิน และรุ่นหน้าปัดโรสโกลด์ หน้าปัดโทนสีชมพู
BREGUET
Breguet เป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่มีนาฬิกาใหม่น่าตื่นตาตื่นใจหลายรุ่น ที่จริงต้องเรียกว่ามากเกินกว่าจะเขียนถึงได้หมดด้วยซ้ำ Breguet เป็นแบรนด์ในเครือ Swatch Group ที่ผู้คนรู้จักกันเป็นการทั่วไปมากกว่าอีกหลายแบรนด์ ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะว่าอับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ผู้ก่อตั้งแบรนด์นี้เป็นนักพัฒนาตัวจริงและยังเป็นบิดาแห่งตูร์บิยองซึ่งเป็นกลไกที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดอิทธิพลที่แรงโน้มถ่วงโลกมีต่อความเที่ยงตรงของนาฬิกาได้ โรงงานแห่งนี้มีพนักงานมากถึงกว่า 800 คน ไม่เพียงมีแต่ช่างนาฬิกาเท่านั้น เพราะพนักงานจำนวนมากเป็นช่างฝีมือที่ทำหน้าที่ผลิตและขัดแต่งชิ้นส่วนขนาดเล็กต่างๆ ที่จะมาประกอบกันเป็นเรือนเวลาชั้นสูง สมเกียรติแห่งชื่อ Breguet นี้
Classique Tourbillon Extra-Plat Squelette 5395 คือที่สุดของไฮไลท์จาก Breguet ในปีนี้ คำว่า “extra-plat” ในชื่อรุ่นนั้นเป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งมีความหมายว่า “บางเป็นพิเศษ” การเลือกใช้ชื่อนี้ถือว่าเหมาะสมแล้วเพราะว่าตัวเครื่องนั้นหนาเพียงแค่ 3 มม. เท่านั้นด้วยการใช้บอลแบริ่งสำหรับการถ่ายเทพลังงานเข้าและออกจากแบเรล มีระบบการเชื่อมต่อตูร์บิยองเข้ากับวีลเทรนโดยตรงโดยไม่ต้องใช้พินเนียนอยู่ข้างใต้ และมีโรเตอร์ขึ้นลานแบบวางรอบนอกเหมือนเช่นของนาฬิกา Breguet รุ่นใหม่ๆ บางรุ่น
เมื่อมองเข้าไปในตัวเรือนแพลทตินัมจะเห็นเครื่องนาฬิกาแบบสเกเลตั้นที่ดูราวกับล่องลอยอยู่ในอากาศ เครื่องนาฬิการุ่นนี้ผลิตจากโรสโกลด์ จึงทำให้ 5395 เป็นนาฬิการุ่นที่สองในประวัติศาสตร์ของ Breguet ที่ผลิตจากทอง โดยเรือนแรกที่มีเมนเพลทผลิตจากทองนั้นก็คือนาฬิกาพกอันเลื่องชื่อของพระนางมารี อ็องตัวแน็ตนั่นเอง
Breguet ประสบความสำเร็จในการออกแบบเครื่องของนาฬิกา Classique Tourbillon Extra-Plat Squelette นี้ให้มีเนื้อวัสดุน้อยกว่าเครื่องรุ่นปกติถึง 50% โดยที่ไม่ส่งผลให้โครงสร้างแข็งแกร่งน้อยลงแต่อย่างใด ไม่เพียงเท่านั้น ช่างขัดของ Breguet ยังฝากฝีมือไว้ด้วยการขัดแบบอ็องกลาจเพื่อลบเหลี่ยมตลอดแนวของเนื้อบริดจ์ได้อย่างไรที่ติ แม้แต่ในบริเวณที่เป็นซอกมุมคมๆ ภายในที่ยากต่อการขัดแต่ง
BLANCPAIN
ภายในย่านวาลเลเดอชูซ์แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ Breguet เท่านั้น แต่ยังมี Blancpain อีกหนึ่งแบรนด์ที่อยู่ในเครือ Swatch Group สำหรับตัว Blancpain เองนั้นมีอาคารโรงงานอยู่สองแห่ง แห่งแรกอยู่ในหมู่บ้านเลอซ็องทิเยร์และอีกแห่งอยู่ในหมู่บ้านเลอบราซูส์ จำนวนนาฬิกาที่ผลิตราวปีละ 30,000 เรือนและเป็นนาฬิกาจักรกลล้วนทั้งหมด ปีนี้ก็น่าจะเป็นตัวเลขในระดับเดิมนี้เพราะว่ามีนาฬิกาดำน้ำ Fifty Fathoms ออกมาหลายเรือนและยังมีนาฬิกาจากคอลเลคชั่นอื่นๆ ด้วย
ถ้าเป็นแนวเดาง่ายก็จะมี Villeret Extra-Plate ตัวเรือนขนาด 40 มม. แบบหน้าปัดเรียบเกลี้ยงที่สุด ไม่มีวันที่ ไม่มีเข็มวินาที สำหรับคนที่ต้องการนาฬิกาที่เรียบร้อยสุดๆ โดยเฉพาะ เข็มบอกกำลังลานสำรอง 100 ชั่วโมงไปอยู่บนด้านหลังของเครื่องเพื่อความสะดวกที่ไม่รบกวนความเกลี้ยงของด้านหน้าปัด นับเป็นความลงตัวแบบไม่ขาดไม่เกินอย่างแท้จริงทั้งในรูปแบบเร้ดโกลด์และสเตนเลสสตีล
แต่ที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นเลยก็คือนาฬิการุ่น Air Command ซึ่งเป็นการนำรูปแบบนาฬิกาโครโนกราฟอย่างที่ Blancpain เคยผลิตให้กับบางกองทัพในยุคทศวรรษที่ 1950 กลับมาทำใหม่ คุณสมบัติสำคัญ ได้แก่ ระบบจับเวลาแบบสองวงพร้อมกลไกฟลายแบ็ค ขอบตัวเรือนแบบจับเวลาถอยหลัง และสารเรืองแสงซุปเปอร์ลูมิโนว่าที่ย้อมสีจนเหมือนสีเรเดียมเก่า ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้วในเรื่องเทคนิคนั้นนาฬิกา Air Command ขนาดตัวเรือน 42.5 มม. รุ่นนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ในเรื่องรูปลักษณ์แล้วจัดว่าหล่อแบบโดนใจผู้ซื้อที่ชอบแนวนี้แน่ๆ ยิ่งเวลาเห็นนักข่าวจับนาฬิการุ่นใดไม่ยอมวางอย่างนี้ยิ่งมีแววว่าจะมีคนสนใจกันมาก ดังนั้นใครถูกใจเข้าแล้วก็รีบจับจองแล้วกันเพราะว่ามีเพียงแค่ 500 เรือนเท่านั้น
JAQUET DROZ
วันสุดท้ายของโปรแกรมเป็นวันที่เราไปสองเมืองด้วยกัน เริ่มกันช่วงเช้าที่ลาโชเดอฟ็องส์ เมืองที่ตั้งของโรงงาน Jaquet Droz ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ไม่เหมือนใครใน Swatch Group หรือจะว่าไม่เหมือนใครในวงการนาฬิกาเลยก็ว่าได้ เพราะ Jaquet Droz มีจุดเด่นในเรื่องของออโตมาตอน ศาสตร์ที่มีมาแต่โบราณนี้จะเรียกว่าเป็นการสร้างหุ่นยนตร์ของคนสมัยก่อนก็ได้โดยออกแบบให้เหมือนคนหรือสัตว์ที่มีท่าทางเคลื่อนไหวไปมา ครั้นเมื่อจะมาอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาก็ต้องย่อส่วนลงอย่างเหลือเชื่อด้วย
ออโตมาตอนของ Jaquet Droz มักผูกโยงอยู่กับแรงบันดาลใจแห่งธรรมชาติเสมอ ที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นนาฬิการุ่นที่มีฉากรังนกหรือป่าเขตร้อนที่มีองค์ประกอบเคลื่อนไหวมากมาย ในปีนี้ Jaquet Droz ภูมิใจเสนอนาฬิการุ่น Magic Lotus Automaton ซึ่งเป็นเหมือนกับสวนสวยสไตล์เซ็นบนข้อมือของคุณ มีสระบัวเป็นวงแหวนล้อมรอบหน้าปัดบอกเวลาพื้นโอนิกซ์สีดำ เมื่อกดปุ่มที่ฝังอยู่ในเม็ดมะยมแล้วจะเห็นปลาคาร์ปตัวหนึ่งว่ายไปรอบวงในลักษณะที่กระดิกได้ดูสมจริง ลอดใต้ดอกบัว ใบบัวและหน้าปัดบอกเวลาได้โดยไม่ติดขัดแต่อย่างใด แถมด้วยแมลงปอเร้ดโกลด์หนึ่งตัวบริเวณเก้านาฬิกาเพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายบอกกำลังลานสำรอง
นาฬิการุ่นนี้มีตัวเรือนเร้ดโกลด์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 43 มม. และหน้า 16.96 มม. สวมใส่ด้วยสายหนังจระเข้สีเขียวเข้มที่ดูมืดกว่าใบบัวสักสองสเต็ป จำนวนการผลิต Magic Lotus Automaton นั้นจำกัดเพียง 28 เรือนเท่านั้น ที่จริง Jaquet Droz ยังมีนาฬิกาที่น่าสนใจอีกหลายรุ่น เป็นพวกโครโนกราฟก็มี แต่เราต้องเก็บไว้พูดถึงวันหลังแล้วเพราะพื้นที่ตรงนี้มีจำกัด
OMEGA
ลำดับสุดท้ายในโปรแกรมการเดินทางของเราก็คือสำนักงานใหญ่และโรงงานหลักของ Omega ที่เมืองเบียน ตัว Omega เองนั้นมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับ NASA และโครงการสำรวจอวกาศ ปีนี้เป็นปีสำคัญอีกครั้งหนึ่งเพราะว่าเป็นวาระครบรอบ 50 ปีภารกิจ Apollo 11 ซึ่งประสบความสำเร็จในการร่อนลงบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1969 จนนำไปสู่การเปิดตัวนาฬิกา Omega Speedmaster Apollo 11 50th Anniversary Limited Edition Moonshine Gold เมื่อสองเดือนก่อน
แล้วก็ถึงคราวที่เราได้ยลโฉม Speedmaster Apollo 11 50th Anniversary Limited Edition ตัวเรือนสเตนเลสสตีล ผลิตเป็นจำนวนจำกัด 6,969 เรือน มีขอบตัวเรือนผลิตจากมูนไชน์โกลด์ซึ่งเป็นทองสูตรพิเศษเฉพาะของ Omega ที่มีสีอ่อนกว่าเยลโลว์โกลด์ทั่วไปแต่จะไม่ซีดจางเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ วงแหวนที่อยู่ในขอบตัวเรือนเป็นเซรามิกสีดำ และสเกลแทคคิมิเตอร์เป็นวัสดุเซราโกลด์ตามมาตรฐานของ Omega เวลาที่จะพิมพ์ตัวเลขเป็นทองบนวงแหวนขอบตัวเรือนที่เป็นเซรามิก นอกจากนี้ยังมีเพลทมูนไชน์โกลด์ที่ตำแหน่งเก้านาฬิกาซึ่งแกะสลักเป็นรูปนักบินอวกาศ บัซ อัลดริน ขณะก้าวลงจากยาน และมีตัวเลข 11 เป็นมูนไชน์โกลด์ที่ตำแหน่ง 11 นาฬิกาเพื่อสื่อถึงตัวเลขภารกิจ Apollo 11 ดังกล่าวนั้น
นาฬิการุ่นนี้ใช้เครื่องไขลานรุ่นใหม่คาลิเบอร์ 3861 ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อเนื่องมาจากคาลิเบอร์ 1861 เดิม ในทางกลไก สิ่งที่เพิ่มขึ้นมานั้นคือซิลิคอนบาลานซ์สปริงและโคแอ็กเซียลเอสเคปเมนท์เพื่อประสิทธิภาพการทำงานและความทนทานต่อสนามแม่เหล็ก ส่วนในเรื่องความสวยงามนั้นเครื่อง 3861 นี้ได้รับการขัดแต่งในลักษณะเดียวกันกับเครื่อง 1863 ที่คนเล่นนาฬิกาคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว อันนี้ก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะมีการนำเครื่องใหม่นี้ไปใช้ในนาฬิกาตระกูล Speedmaster รุ่นอื่นอีกหรือไม่อย่างไรบ้างในอนาคต ตอนนี้เราทราบเพียงว่านาฬิการุ่นนี้เป็นรุ่นที่ได้จำนวนยอดไลค์สูงสุดบน Instagram ของเราในเวลานี้ซึ่งถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความสนใจที่ตลาดมีให้ต่อนาฬิการุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี
ถือว่าเป็นโชคดีของเราที่ได้เห็นและสัมผัสกับนาฬิการุ่นใหม่ของทั้งหกแบรนด์นี้จึงสามารถยืนยันกับคุณผู้อ่านได้ว่าวงการนาฬิกาปีนี้ไม่เงียบเหงาอย่างที่ใครรู้สึกกันช่วงงาน Baselworld เมื่อเดือนมีนาคมแน่ๆ ดังนั้นใครนึกอยากซื้อนาฬิกาอยู่ก็ติดตามเว็บไซท์หรือหน้า Facebook ของเราได้เพื่อรับชมของสวยๆ งามๆ น่าสนใจที่เราจะคัดมาทุกสัปดาห์เพื่อเป็นไอเดียให้สำหรับคุณ หรือหากคุณอยากดูรุ่นใดหรือแบรนด์ใดเป็นพิเศษก็เขียนเข้ามาได้เลยที่ editorial@luxuothailand.com เราจะได้จัดให้ได้ตรงตามความต้องการของคุณ
หมายเหตุ: รูปทั้งหมดนี้ถ่ายในช่วงของการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ตามโปรแกรม เราไม่สามารถควบคุมสภาพแสงหรือสิ่งแวดล้อมได้ และยังต้องเวียนนาฬิกากับสื่อจากประเทศอื่นด้วย จึงทำให้คุณภาพรูปอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น ทั้งนี้ เหตุที่เราตั้งใจไม่ใช้ภาพผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการจากแบรนด์ก็เพื่อให้คุณได้เห็นนาฬิกาหลากรุ่นนี้ในมุมมองที่แตกต่างจากสื่ออื่นเป็นพิเศษโดยเฉพาะ
Top Six Swatch Group brands unveil 2019 novelties in a comprehensive fashion.
Words: Ruckdee Chotjinda
Ever since Swatch Group announced their departure from Baselworld in July 2018, industry observers could not help but speculate about the group’s next move and how they would present their 2019 novelties. Then a bit of hint came to select journalists who received an invitation by e-mail to save the date for 14-16 May.
As it turned out, Swatch Group intended to showcase the new products of their six high-end brands by bringing nearly 200 international journalists to each of these manufactures (well, with the exception of Glashütte Original, which is in Germany). We are honoured to be a part of this premiere edition of the “Swatch Group: Time to Move” program and will present the novelties in details over the coming weeks. But, first, let us share a quick glimpse into a little bit of everything, in the same chronological order as we experienced it.
GLASHÜTTE ORIGINAL
Swatch Group planned the program very well. In order to ensure efficiency, journalists were split into six groups to visit the six brands over the period of three days. Our first stop was with the said German brand Glashütte Original. As they are based in Germany, the firm had to make do with using the Starling Hotel near Geneva Airport as the venue to showcase their crafts and novelties. The setup was not comparable with a visit to their manufactory for sure, but it was better than to not try at all.
Importantly, besides small parts assembly and dial making process, Glashütte Original demonstrated how they test prototype and finished watches for sale as well. One emphasis is on pressure testing for water resistance, which brings us now to their most novel of all products this year. The SeaQ diver watches are offered as a new (or should we say “revived”) collection of “Spezialist” timepieces. The two versions are the 39.5 mm SeaQ as a modern-day version of the Spezimatic watch from 1969; and, the 43.2 mm SeaQ Panorama Date which retains the original markers and hands design but include the signature feature at five o’clock. All models are water resistant to 200 metres.
HARRY WINSTON
That same afternoon, we were at the Harry Winston manufacture in Plans-les-Ouates on the outskirt of Geneva. The famous jeweller entered into the watch business in 1989 but it was not until 2007 that this manufacture was built. Here, 180 people, who include watchmakers, jewellers, gem setters, other craftsmen and operational personnel, work to bring various timepieces to fruition and send them to the 48 boutiques around the world.
Meeting them at their place allowed us to see more novelties than we usually did with them at Baselworld in the past. Aside from the Histoire de Tourbillon 10 model with four tourbillons which will be featured in its own post at a later time, there is a new version of the Project Z12 watch, introduced last year, now available in rose gold as well. Also, everyone should have a look at this delightful Premier Precious Peacock Automatic 36 mm. The dial was created by mosaic artists in Ravenna, Italy, using thin rods of Murano glass. The white gold version has the blue colour scheme, and the rose gold version the pink colour scheme.
BREGUET
Breguet is another high-performer this year, delivering more novelties than we can easily cover. The historical brand is among the more well-known one of Swatch Group. That should not be a surprise as the eponymous watchmaker who founded the company was an inventor extraordinaire, and the father of tourbillon – the mechanism designed to minimise the effect on the earth’s gravity on the precision of a watch. More than 800 people work in these buildings and many of them are not watchmakers but craftsmen who dedicate their time to the production and finishing of the very small parts that make up a timepiece worthy of the haute horlogerie level.
Their star piece for 2019 is the Classique Tourbillon Extra-Plat Squelette 5395. Extra-plat is French for ultra thin. It is appropriately used here as the movement measures only 3 mm in height, thanks to the use of ball bearings for the barrel, a new method of connecting the tourbillon directly to the wheel train without the use of a pinion, and, of course, the peripheral rotor as seen in some of the recent Breguet creations.
Here, inside the platinum case, the rose gold movement seems as if it is suspended in the air. Breguet has successfully skeletonised the movement by hollowing out as much as 50 per cent of the material while preserving the structural integrity of everything. True craftsmanship is illustrated through the meticulous anglage finishing all around the bridges, including the sharp interior angle where it is very difficult to work on.
It is also important to note that the 5395 is the first Breguet watch with a gold main plate in the brand’s modern collection. Historically, only one Breguet watch was produced with a gold main plate and that was the famous Marie Antoinette pocket watch.
BLANCPAIN
The Vallée de Joux is home to two major Swatch Group brands. Blancpain is the other one with two facilities in Le Sentier and Le Brassus, producing about 30,000 mechanical watches annually. This year looks set to be the same with a few varieties of the famed Fifty Fathoms dive watch models and more.
On the more predictable side of things, Blancpain shows the simplest Villeret Extra-Plate with no date and no second hand in 40 mm size to please buyers who demand purity. A power reserve indicator is built into the back side of the 100-hour, hand-winding movement for an additional utility. It is the kind of failproof classic in red gold or stainless steel … nothing less, nothing more.
The out-of-the-blue release is a chronograph called Air Command. A reissue of a chronograph produced for certain armed forces of the world in the 1950s. It is marked by a flyback chronograph with two subdials, a rotating countdown bezel, and SuperLumiNova luminous material in old radium colour. While not a technically significant timepiece, the 42.5 mm Air Command is a stylistic delight nonetheless, and a valid option for potential Blancpain buyers. And, when there is a watch that journalists subconsciously hog with them for a long time, you know the piece will become a hot seller. Act fast if you want to be in that club of 500 owners.
JAQUET DROZ
Our last day of the program involved a trip to two cities. First, we went to La Chaux-de-Fonds to visit Jaquet Droz: a watch company like no other within Swatch Group, or within the watchmaking industry for that matter. Jaquet Droz is a master of automaton. This age-old craft uses programmed robotic mechanics to realise an animated form of human or animals. In the case of watches, the automaton has to be necessarily miniaturised from the size of a doll to be tiny enough for the watch dial.
Jaquet Droz is constantly inspired by the nature. Their past automaton watches showcased scenes as varied as a bird’s nest to a jungle with multiple moving elements. For 2019, they give us a zen garden on the wrist with the Magic Lotus Automaton watch model. A pond of lotus flowers surrounds a striking black onyx time-telling dial. Upon activating the trigger built into the crown, a small carp will start its swim around the circular stage, body wagging in the most realistic manner possible, thanks to the mechanism for which patent application is in progress. The carp would pass casually underneath the lotus flowers and leaves, as well as the black onyx dial. One last nice touch is the red gold dragonfly around nine o’clock which serves as the power reserve indicator.
This red gold watch measures 43 mm in diameter and 16.96 mm in thickness, to be worn on a green alligator leather strap about one or two shades darker than a lotus leave. Its production is limited to 28 pieces. Jaquet Droz launched some very nice chronographs as well for this year, but we will have to revisit those on another occasion as we must dedicate the space to this spectacular piece first.
OMEGA
Speaking of spectacles, last but not least, we visited Omega’s HQ and production facilities in Bienne. The famous marque is inseparably linked with NASA, their space programs and the moon landings – the first of which happened 50 years ago with the Apollo 11 mission. So this is a big year for Omega, and it led to the introduction of the Omega Speedmaster Apollo 11 50th Anniversary Limited Edition Moonshine Gold watch two months ago. It is followed now by the Speedmaster Apollo 11 50th Anniversary Limited Edition.
Limited to 6,969 pieces, the stainless steel watch is fashioned with a bezel in Moonshine gold – a proprietary gold alloy which is paler than yellow gold but more resistant to fading over time. The bezel insert is in black ceramic and tachymeter scale is, as you can guess, in Ceragold as per Omega’s normal operating protocol when introducing gold to a ceramic bezel insert. Elsewhere on the watch, an engraving of Buzz Aldrin climbing down the lunar module is found on a Moonshine gold plate at nine o’clock. The same precious material is used to form the number 11 at that hour marker position, referencing the historical Apollo mission.
This watch is powered by the new hand-winding Calibre 3861, which is an evolution over Calibre 1861. Technically, it is equipped with silicon balance spring and co-axial escapement for improved performance and resistance against magnetism. Aesthetically, it has the general finishing of the well-known Calibre 1863. It is interesting to see if and how the new calibre will be used in the Speedmaster family of watches in the future. But as things stand, this is the watch which attracts the greatest number of likes on our Instagram at the moment. That says a lot about public interest.
To conclude this initial report, we are happy with what we saw. And we are saying this not to please our hosts, but to assure our watch collecting or watch buying readers that the state of the affairs is fine in this industry, despite the subdued vibe at Baselworld in March. If you are in the mood to get a new watch, check our web site or Facebook page every week for a variety of inspirations. Better yet, write us at editorial@luxuothailand.com to let us know what you want to see next.
Remark: We choose not to use the official PR pictures in order to show you how the watches look in real life. However, please excuse the quality of photographs as they were shot on location, under unmanageable lighting circumstances, and with respect to other journalists who must share the viewing sessions with us.
