ทำความรู้จัก Cintrée Curvex Ryoko Kaneta Dragon Limited จาก Franck Muller ผ่านบทสัมภาษณ์เรียวโกะ คาเนตะ ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน
บทความ: เนตรนภา ปะวะคัง ภาพ: Franck Muller
เพื่อเฉลิมฉลองปีแห่งมังกร และสานต่อความสำเร็จจาก Fr2nck Muller Vanguard ที่เผยโฉมไปเมื่อปีกระต่ายที่ผ่านมา Franck Muller เจ้าแห่งนาฬิกากลไกและดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์จึงไม่พลาดที่จะรังสรรค์ผลงานเรือนเวลารุ่นใหม่อย่าง Cintrée Curvex Ryoko Kaneta Dragon Limited Edition ซึ่งมีจำนวนจำกัดเพียง 500 เรือนและวางจำหน่ายเฉพาะในเอเชียแปซิฟิกเท่านั้น โดยเรือนเวลาสุดพิเศษนี้ได้คุณเรียวโกะ คาเนตะ ศิลปินชื่อดังชาวญี่ปุ่นที่มักถ่ายทอดธรรมชาติ ปรัชญา ความเชื่อ และตำนานญี่ปุ่นอันยิ่งใหญ่และเก่าแก่ออกมาเป็นคาแรกเตอร์เด็กผู้หญิงที่ดูน่ารัก สดใส สไตล์มังงะเป็นผู้ออกแบบ Cintrée Curvex Ryoko Kaneta Dragon Limited Edition จึงกลายเป็นเรือนเวลาที่นำเสนอสัตว์ในตำนานตะวันออกอย่าง “มังกร” ออกมาได้อย่างแปลกใหม่และสนุกสนานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ทั้งนี้ Franck Muller ได้จัดนิทรรศการและจัดแสดงเรือนเวลารุ่น Cintrée Curvex Ryoko Kaneta Dragon Limited ให้ท่านที่สนใจได้เข้าชมฟรีที่ Maison JE กรุงเทพฯ จนถึง 24 สิงหาคม พ.ศ.2567 โดยศิลปินเจ้าของผลงานอย่างคุณเรียวโกะก็ได้มาเยือนเมืองไทยเนื่องในวาระพิเศษนี้ด้วยเช่นกัน และถือเป็นเรื่องดีงามอย่างยิ่งที่ทาง Luxuo Thailand ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณเรียวโกะถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของเธอ โดยเฉพาะการได้มาร่วมงานกับ Franck Muller ในครั้งนี้ ถือเป็นการได้ทำความรู้จักกับตัวเธอและผลงานสุดพิเศษอย่าง Cintrée Curvex Ryoko Kaneta Dragon Limited ให้มากขึ้น
ปรัชญาและวรรณกรรมญี่ปุ่นโบราณมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ผลงานของคุณในฐานะศิลปินได้อย่างไร ที่มาหรือจุดกำเนิดของแรงบันดาลใจนี้คืออะไร
ตัวฉันเป็นเด็กบ้านนอก บ้านเกิดอยู่บ้านนอกแล้วก็เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติมาโดยตลอด แล้วตอนอยู่บ้านนอก ฉันก็ไม่ได้สนใจแนวคิดเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์หรือตำนานอะไร ก็ใช้ชีวิตตามปกติทั่วไป แต่เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในมหาวิทยาลัยศิลปะและต้องเข้ามาอยู่ในเมือง พอห่างจากบ้านเกิด ฉันก็เลยมองย้อนไปถึงบ้านเกิดตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าบ้านเกิดของฉันก็มีตำนานหรือประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอยู่มากมาย ฉันก็เลยเริ่มสนใจว่าจะเอาตำนานหรือประวัติศาสตร์ท้องถิ่นซึ่งไม่ใช่แค่บ้านเกิดของฉันมาทำอะไรกับผลงานของฉันได้บ้างหรือไม่
ส่วนแรงบันดาลใจที่ทำผลงานกับ Franck Muller ก็เนื่องจากว่าปี 2024 เป็นปีมังกร แล้ว Franck Muller ก็มีโจทย์ว่าอยากทำอะไรที่เกี่ยวกับปีมังกรนี้ค่ะ แล้วพอดีว่าโมทีฟในการทำผลงานศิลปะของฉันเองก็มีเรื่องมังกรเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้วด้วยเนื่องจากว่ามันเป็นเรื่องตำนานของญี่ปุ่นใช่ไหมคะ ในครั้งนี้ฉันก็เลยจะเอาตัวมังกรที่ฉันเคยคิดมาใช้ แล้วก็เลือกสีฟ้าเนื่องจากเป็นสีของท้องทะเล มหาสมุทร แล้วก็สีของท้องฟ้านะคะ แล้วในตำนานของญี่ปุ่นมังกรจะขึ้นมาจากทะเลแล้วไปหลบอยู่บนท้องฟ้าหลังเมฆ ก็เลยคิดว่าถ้าเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับเมฆล่ะจะเป็นยังไง แล้วพอเห็นตัวเลขของ Franck Muller ที่เป็นดีไซน์นี้มันก็เหมาะที่จะเป็นเมฆ ฉันก็เลยสร้างตัวมังกรในลักษณะบุคลาธิษฐานที่สร้างให้เป็นตัวคนแล้วก็หลบอยู่หลังก้อนเมฆซึ่งก็คือตัวเลขของ Franck Muller แล้วทีนี้ในตำนานของญี่ปุ่นก็จะมีบอกไว้ด้วยว่า ถ้าใครเงยหน้ามองท้องฟ้า มองดูเมฆแล้วเห็นมังกร คนๆ นั้นก็จะโชคดี เพราะฉะนั้นฉันก็เลยเชื่อมโยงตำนานเหล่านี้ของญี่ปุ่นไว้ในการออกแบบนาฬิกาของ Franck Muller เรือนนี้ค่ะ

ดวงตาเป็นองค์ประกอบที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในงานออกแบบของคุณ ไม่ว่าจะเป็นรูปเด็กสาวซึ่งมีนัยน์ตาที่สื่อความรู้สึก หรือจะเป็นรูปภูเขาและรูปดวงจันทร์ที่มีดวงตาเหมือนกัน เราจึงอยากรู้เกี่ยวกับความหมายของดวงตานี้จากคำพูดของคุณเองจริงๆ
ผลงานของฉันจะสร้างมาจากธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ภูเขา ทะเล อะไรพวกนี้มันก็เป็นหนึ่งในธรรมชาติ แล้วก็รวมถึงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติด้วยที่ฉันเอามาใช้ในผลงาน ส่วนที่ผลงานของฉันทำไมถึงนำเด็กผู้หญิงมาเป็นตัวแทนของธรรมชาติ คือมันเป็นการทำบุคลาธิษฐานของสิ่งที่เป็นธรรมชาติให้เป็นคนค่ะ เนื่องจากในวัฒนธรรมญี่ปุ่น สิ่งใหญ่ๆ ในธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นภูเขาหรือท้องทะเล ที่ผ่านมาก็จะมีการใช้บุคลาธิษฐานให้เป็นคนนะคะ เช่นเรื่องเล่าที่เป็นเรื่องเทพปกรณัมต่างๆ มันก็จะมีลักษณะแบบนั้น ฉันก็เลยอยากทำบุคลาธิษฐานในรูปแบบที่เป็นมังงะหรืออนิเมะแทนซึ่งก็เป็นจุดเด่นในผลงานของฉันมาโดยตลอด ส่วนเรื่องดวงตา เพราะดวงตาเป็นสิ่งที่แสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนได้ชัดเจนที่สุด ฉันก็เลยเลือกดวงตา แล้วที่ผ่านมาฉันก็พยายามหลีกเลี่ยงการแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ ความรู้สึก เพื่อที่จะให้ผู้ชมเป็นคนตีความผลงานของฉันเองค่ะว่าตัวอนิเมะที่ฉันสร้างขึ้นมีบุคลาธิษฐานอย่างไรโดยการสื่อผ่านดวงตาแทน ก็แล้วแต่เลยค่ะว่าแต่ละคนจะสามารถตีความหรือรับรู้ความรู้สึกอะไรจากภาพของฉันได้ มันก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละคนค่ะ
คุณเคยทำงานร่วมกับแบรนด์สินค้ามาก่อนที่จะออกแบบนาฬิกา Franck Muller เรือนนี้หรือไม่
ไม่เคยเลยค่ะ Franck Muller เป็นการคอลแลบฯ ครั้งแรกของฉันเลย
คุณมารู้จักกับ Franck Muller จนได้ทำโปรเจคต์นี้ได้อย่างไร อยากให้คุณเล่าเรื่องที่มาที่ไปแบบเบื้องหลังเพื่อทำให้ผู้ซื้อรู้สึกเชื่อมโยงกับความหมายของนาฬิกาได้มากยิ่งขึ้น
เนื่องจากว่าในปี 2023 ฉันไปจัดแสดงนิทรรศการที่สิงคโปร์ แล้วในงานนั้นมีธีมเกี่ยวข้องกับทะเล แล้วก็มีผลงานมังกรที่ฉันวาดไว้ด้วย คนของ Franck Muller ก็ไปชมนิทรรศการนั้น แล้วบังเอิญว่าโปรเจ็คต์ของ Franck Muller ที่จะทำในปีนักษัตรมังกรนี้เนี่ยจะเป็นรูปมังกรพอดี Franck Muller ก็เลยเลือกฉันให้เป็นศิลปินที่จะมาคอลแลบฯ กันในปี 2024 นี้ค่ะ

อะไรคือสิ่งแรกที่คุณคำนึงถึงเมื่อคุณรู้ตัวว่าคุณกำลังจะต้องออกแบบมังกรสไตล์ญี่ปุ่นเพื่อไปอยู่บนนาฬิกาสวิส คุณตั้งใจวาดมังกรให้อยู่ในรูปของมนุษย์ตั้งแต่แรกเลยหรือไม่
ตอนแรกที่ได้โจทย์มาว่าเป็นมังกร ฉันก็ไม่ได้คิดว่าต้องเป็นเด็กผู้หญิงนะคะ แต่ฉันก็เสนอไปโดยดูจากรูปลักษณ์และจุดเด่นของตัวนาฬิกาที่มีเส้นสาย มีความโค้งมน และตัวหน้าปัดที่มีอัตลักษณ์พิเศษ ความจริงตอนแรกฉันก็ดีไซน์รูปแบบของตัวมังกรหลายแบบให้เข้ากับตัวนาฬิกา Franck Muller แล้วทาง Franck Muller ก็ถูกใจอันที่เป็นเด็กผู้หญิง แล้วพอเป็นเด็กผู้หญิงฉันเองก็รู้สึกดีด้วยค่ะเพราะว่าสามารถใส่ความเป็นตัวของตัวเอง หรือส่งผ่านความเป็นศิลปิน ความเป็นผู้หญิงของฉันได้ดีเลยค่ะ
ทำไมคุณจึงเลือกใช้สีเทอร์ควอยซ์ในการตกแต่งหน้าปัดและสายนาฬิการุ่นนี้
โจทย์แรกที่มาคือมังกร แล้วตามตำนานญี่ปุ่นเนี่ยมังกรคือมาจากทะเลแล้วขึ้นไปบนฟ้า ฉันก็เลยคุยกับทาง Franck Muller ว่าสิ่งที่ให้ได้ทั้งทะเลและท้องฟ้าน่าจะเป็นสีเทอร์ควอยซ์บลูค่ะ
อะไรเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือทรงคุณค่าที่สุดที่คุณได้รับในกระบวนการพัฒนานาฬิกาแนวคอลลาบอเรชั่นรุ่นนี้
ประสบการณ์ค่ะ เพราะที่ผ่านมาเวลาฉันเป็นศิลปินที่ทำภาพวาดหรือคิดงานของตัวเองอย่างเดียว ฉันก็จะสามารถแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้หมด แต่ทีนี้ประสบการณ์ใหม่ที่ฉันจะต้องมาคอลแลบฯ กับแบรนด์ซึ่งมีตำนานมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ก็ต้องคิดว่าจะทำยังไงถึงจะเอาจุดเด่นของแบรนด์ออกมา ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่สูญเสียอัตลักษณ์ของตัวเอง แล้วก็ทำให้มันผสมผสานเข้ากันได้ มันเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ฉันไม่เคยมีมาก่อน ฉะนั้น ประสบการณ์อันนี้แหละค่ะที่น่าจะเป็นสิ่งยิ่งใหญ่สำหรับตัวฉันเอง
นอกจากเรื่องปรัชญาและวรรณกรรมญี่ปุ่นแล้ว คุณอยากนำเสนอความเป็นญี่ปุ่นด้านไหนผ่านผลงานของตัวเองอีกบ้าง
ที่ผ่านมาเนื่องจากว่าฉันอยู่ในประเทศญี่ปุ่นใช่ไหมคะ แล้วฉันก็ใช้ปรัชญาใช้ตำนานญี่ปุ่นเป็นพื้นหลังในการสร้างผลงาน ฉันได้ไปสถานที่จริง ที่ไหนมีตำนานมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฉันก็ได้ไปสัมผัส แล้วก็สร้างผลงานขึ้นมา แต่พอช่วงหลังฉันได้ไปจัดแสดงงานที่ต่างประเทศค่อนข้างเยอะก็เลยคิดว่าในงานต่อไปในอนาคต ฉันก็อาจจะใช้เรื่องราว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือตำนานของประเทศที่ฉันได้ไปมาสร้างเป็นผลงานในลักษณะที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่นแบบของฉัน น่าจะมีอะไรที่น่าสนุกและมีผลงานที่น่าสนใจต่อไปในอนาคตค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง: One-Week on the Wrist Review of the new Mido Ocean Star 39