The unmistakable style of H. Moser & Cie. is haute horlogerie at its purest
Words: Lynette Kee
For a good number of years, H. Moser & Cie. has been synonymous with minimalism. It is embracing this austere aesthetic at full force with the newest watch of the fold. The H. Moser & Cie. Endeavour Perpetual Moon Concept in stainless steel presents the phases of the moon in such a characteristically understated way. Doing away with branding and indices on the dial, the watch paints an image of a moon shining through the quiet sky. A deeper understanding further reveals an extraordinary aspect to the mysterious allure of the piece.
As a matter of fact, the clean look on the dial is due to a coating of Vantablack – a high-tech material made of light-absorbing carbon nanotubes. The result is a visage that is exceptionally black. According to H. Moser & Cie., Vantablack “holds the world record as the darkest man-made substance”. The technology stimulates such darkness that it virtually hides any form of visible texture, forming an abyss-like illusion, or in this case, an interplanetary space that makes the moon and the hands appear to be floating weightlessly.
Just as appealing is the red gold version that features the midnight-blue fumé dial. Its deep hues with twilight hues are perfectly matched with the warm tone of the case. A brown alligator leather strap adds the finishing touch.
In addition to the contemporary and bold design, H. Moser & Cie. couples these poetic timepieces with precise in-house movements. The moon phase complication, in addition to Moser’s interchangeable escapement, is an extremely accurate display that can be set, read and predicted to within a minute. The system can be easily adjusted using a push-button on the side of the 42 mm case. The Endeavour Perpetual Moon Concept’s intricate wheel train portrays this interval so precisely that the gap is a mere 0.23 seconds per day. That is to say, it only deviates by one day every 1,027.30 years, making it the most precise model available.
The H. Moser & Cie. Endeavour Perpetual Moon Concept is technically complex, unconditionally elegant, and a worthy representation of the finest watchmaking traditions. Only 50 pieces are produced for each model.
ความมินิมอลแบบถึงขีดสุดตามสไตล์ของ H. Moser & Cie. ที่เราคุ้นเคย
บทความ: ลิเนท คี
H. Moser & Cie. เลือกเดินในสายมินิมอลมาหลายปีแล้วจนนักสะสมนาฬิกาทั่วโลกเห็นเป็นภาพติดตา ไม่นานมานี้ก็ยังมีการประยุกต์เอาสุนทรียะดังกล่าวไปใช้ในการออกแบบนาฬิกามูนเฟสตัวเรือนสเตนเลสสตีลในชื่อ H. Moser & Cie. Endeavour Perpetual Moon Concept ได้อย่างน่าประทับใจ บนหน้าปัดไม่มีชื่อแบรนด์และหลักชั่วโมงแม้แต่สิ่งเดียว จะเห็นก็เพียงดวงจันทร์ที่ทอแสงอยู่บนฟากฟ้าที่เงียบสงัด ความลุ่มลึกที่ว่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ หากแต่มีเทคนิคพิเศษที่แฝงอยู่เบื้องหลังให้ผู้ซื้อได้ค้นพบ
ความดำบนหน้าปัดของนาฬิการุ่นนี้เกิดจากการเคลือบด้วยวัสดุไฮเทคที่มีชื่อว่าแวนทาแบล็ค วัสดุชนิดนี้ผลิตจากคาร์บอนนาโนทูบที่มีประสิทธิภาพในการดูดแสงจึงทำให้ชิ้นงานที่เคลือบไว้มีความดำมากเป็นพิเศษ ทางแบรนด์กล่าวอ้างว่าแวนทาแบล็คนี้เป็น “สสารซึ่งผลิตโดยมนุษย์ที่มีความดำที่สุดในโลก” เทคโนโลยีนี้ก่อให้เกิดความดำในระดับที่ตาแทบจะมองไม่เห็นลวดลายใดๆ บนพื้นผิว เหมือนเป็นหลุมดำหลอกตา หรือในกรณีของนาฬิการุ่นนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นห้วงอวกาศอันไกลโพ้นที่มีดวงจันทร์และเข็มบอกเวลาลอยคว้างอยู่
อีกรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือรุ่นตัวเรือนเร้ดโกลด์ที่มาพร้อมกับหน้าปัดสีน้ำเงินมิดไนท์บลูแบบไล่สีราวกับฟ้ายามอาทิตย์อัสดงที่เข้ากับโทนสีอบอุ่นของตัวเรือน จับคู่กับสายหนังจระเข้สีน้ำตาลดูลงตัวยิ่งนัก
เมื่อกล่าวถึงการออกแบบที่ร่วมสมัยและคมเข้มไปแล้วก็ต้องพูดถึงเรื่องเครื่องนาฬิกาด้วย H. Moser & Cie. เลือกใช้เครื่องแบบอินเฮ้าส์ที่มีเอสเคปเมนท์แบบยกเปลี่ยนได้ มูนเฟสหรือการแสดงค่าข้างขึ้นข้างแรมที่ตั้งค่าง่ายดายด้วยปุ่มกดบนด้านข้างของตัวเรือนขนาด 42 มม. วีลเทรนของชุดกลไกนี้ละเอียดถึงระดับที่การแสดงค่าจะคลาดเคลื่อนไปเพียงวันละ 0.23 วินาที หรือกล่าวคือมีความคลาดเคลื่อนสะสมรวมเพียงหนึ่งวันเมื่อเวลาผ่านไปนานถึง 1,027.30 ปี ทำให้เป็นนาฬิการุ่นที่มีมูนเฟสเที่ยงตรงที่สุดของแบรนด์นี้ในเวลานี้
โดยสรุปแล้ว H. Moser & Cie. Endeavour Perpetual Moon Concept เป็นนาฬิกาที่มีความซับซ้อนทางด้านเทคนิค สง่างามแบบไร้ที่ติและควรค่าแก่การเป็นตัวแทนของงานประดิษฐ์นาฬิกาขั้นสูง จำกัดการผลิตเพียงรุ่นละ 50 เรือนเท่านั้น
