Audemars Piguet จัดงานฉลองวันเกิด 30 ปีให้กับ Royal Oak Offshore ที่ทะเลสาบโคโม ประเทศอิตาลี
บทความ: รักดี โชติจินดา
หากเราย้อนกลับไปมองแวดวงนาฬิกาในยุคทศวรรษที่ 1980 จะเห็นว่านาฬิการุ่น Royal Oak นั้นได้รับการยอมรับในฐานะไอค่อนแห่งวงการไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกันยอดขายของนาฬิกา Royal Oak ก็เริ่มถดถอยเพราะว่าผู้ซื้อส่วนมากจะเป็นลูกค้าที่มีอายุเสียมากกว่า โดยที่ลูกค้าซึ่งมีอายุน้อยกว่านั้นกลับต้องการเรือนเวลาที่มีความสปอร์ตแบบจัดจ้านยิ่งกว่าเพื่อให้สอดคล้องกับแอคทีฟไลฟ์สไตล์ของตน
Audemars Piguet จึงเลือกตอบโจทย์ความต้องการในรูปแบบใหม่นั้นด้วย Royal Oak Offshore ในปี ค.ศ. 1993 โดยนาฬิการุ่นนี้เป็นผลงานการออกแบบของดีไซเนอร์หนุ่มเอมมนานูเอล เก็ท จากเจนีวา ตัวเรือนมีขนาดใหญ่โต 42 มม. และสวมใส่ด้วยสายนาฬิกาสไตล์อินทีเกรทที่มีข้อสายลักษณะหนาและโค้งรับกับสรีระของข้อมือเป็นอย่างดี และนาฬิการุ่นดังกล่าวยังมีฟังก์ชั่นโครโนกราฟซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งตัวแทนของความสปอร์ตอีกด้วย ทุกองค์ประกอบรวมกันเป็นอารมณ์แห่งความกล้าแกร่งที่เปิดทางเข้าสู่เทรนด์ของนาฬิกาขนาดโอเวอร์ไซส์ที่ดำเนินต่อเนื่องจากนั้นมานานถึงเกือบ 2 ทศวรรษ
World of Watches / Luxuo Thailand ได้รับเกียรติให้ไปร่วมงานฉลองครบรอบ 30 ปีนาฬิกา Royal Oak Offshore กับ Audemars Piguet ที่เมืองโคโม ประเทศอิตาลี ซึ่งจัดให้มีขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้ สถานที่หลักที่ใช้ในการจัดงานคืออู่ต่อเรือ Tullio Abbate ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวที่ปัจจุบันดำเนินงานโดยทายาทรุ่นที่ 3 โดยที่ผ่านมานั้น Tullio Abbate สร้างชื่อจากการเลือกใช้วัสดุน้ำหนักเบาประสิทธิภาพสูงในการต่อเรือแข่งรุ่นต่างๆ ซึ่งรวมถึงเรือที่มีชื่อว่า The Boxer จากปี ค.ศ. 1985 ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Ferrari 512 BB จำนวน 2 เครื่องตามไอเดียที่ออกแบบร่วมกับนักแข่งรถจากค่าย Ferrari ที่มีชื่อว่าดิดิเยร์ เปโรนี
การแข่งเรือนั้นเป็นกีฬาที่ท้าทายความสามารถเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากในบางช่วงอาจมีความเร็วถึง 60-70 น็อตได้โดยง่ายจนเราเห็นภาพเรือแข่งลอยขึ้นไปในอากาศอยู่บ่อยๆ ก่อนที่จะลงมาอยู่บนผิวน้ำอีกครั้ง และหากเป็นการแข่งเรือในพื้นที่ห่างไกลจากชายฝั่งออกไปก็จะเรียกการแข่งขันนั้นว่าเป็นการแข่งขันแบบ “ออฟชอร์” นั่นเอง
ทางด้าน Audemars Piguet นั้นมีการจดทะเบียนชื่อ Offshore เพื่อใช้เป็นชื่อเรียกนาฬิกา Royal Oak สายพันธุ์ใหม่ตั้งแต่ก่อนที่การออกแบบนาฬิกาจะเสร็จสมบูรณ์ จากเอกสารเก่าๆ ยังพบด้วยว่าทาง Audemars Piguet เองนั้นก็ไม่ได้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ใหม่จะประสบความสำเร็จจึงแกะสลักชื่อเพียงแค่ “Royal Oak” บนฝาหลังของนาฬิกา Offshore จำนวน 100 เรือนแรก ก่อนที่จะแกะสลักแบบเต็มว่า “Royal Oak Offshore” ในภายหลัง ทั้งนี้ ความมั่นใจว่านาฬิกาจะขายดีก็เริ่มจากตลาดอิตาเลียนซึ่งเป็นตลาดแรกที่เปิดใจให้กับ Royal Oak Offshore และจากประวัติที่พบเห็นสำหรับ Audemars Piguet ก็คือว่าหากนาฬิกาอะไรขายดีในตลาดอิตาเลียนก็มักจะไปขายดีในตลาดยุโรปอื่นๆ ต่อไป
เราได้เห็นนาฬิกา Royal Oak Offshore รุ่นสำคัญต่างๆ จากในอดีตที่ Audemars Piguet คัดเลือกมาจัดแสดงภายในงานที่โคโมแห่งนี้เพื่อเป็นตัวแทนแห่งความสำเร็จทั้งในด้านเทคนิคและในด้านวัฒนธรรม ที่เห็นโดดเด่นรุ่นหนึ่งก็คือ Royal Oak Offshore “End of Days” จากปี ค.ศ. 1999 ซึ่งออกแบบขึ้นมาสำหรับภาพยนตร์ชื่อเดียวกันนั้นของอาร์โนลด์ ชวาซเซนเน็กเกอร์ นอกจากท่านผู้ว่าคนเหล็กแล้ว Audemars Piguet ก็ยังมีการจับมือกับคนดังจากวงการอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ เจย์ซีในโอกาสครบรอบ 10 ปีแห่งการโลดแล่นในวงการเพลงของเขาเมื่อปี ค.ศ. 2005 และ เลอบรอน เจมส์ ซึ่งทำให้ Royal Oak Offshore เป็นที่รู้จักในวงของผู้คนที่กว้างไกลยิ่งกว่าเดิมในปี ค.ศ. 2013
Royal Oak Offshore เป็นมากกว่านาฬิกา เพราะว่ามันคือตัวแทนแห่งการใช้ชีวิตแบบไม่มีขีดจำกัด ดังนั้น Tullio Abbate จึงเตรียมกิจกรรมพิเศษไว้ให้นักข่าวที่ได้รับเชิญไปร่วมงานทุกคน นั่นก็คือการออกไปนั่งเรือเร็วแบบสมมุติว่าเป็นการแข่งเรือบนทะเลสาบโคโมโดยใช้เรือจำนวน 6 ลำของบริษัทซึ่งเป็นเรือชั้นดีขนาดต่างๆ แบบที่มีที่นั่งผู้โดยสาร ไม่ใช่เรือแข่งแบบมีฝาครอบค็อกพิท
คณะของเราเริ่มออกเดินทางจากเทรเมซโซซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือของ Tullio Abbate แล้ววิ่งลงไปทางออนโนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบโคโมซึ่งมีเรือต่างๆ สัญจรน้อยและทำให้เราใช้ความเร็วได้สูงสุด เมื่อได้สัมผัสประสบการณ์แห่งความตื่นเต้นกันอย่างเต็มที่แล้วขบวนเรือจึงแวะชมความงามของเมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่สองฝั่งของทะเลสาบกันตามอัธยาศัย อย่างเรือลำที่เรานั่งนั้นก็ได้ไปวิ่งแบบชะลอผ่านวิลลาเดลบัลบิอาเนลโลซึ่งเป็นจุดถ่ายทำภาพยนตร์ Star Wars Episode II (ฉากที่อนาคินพยายามจีบแพดเม) ก่อนที่จะไปลอยลำชมความงามของสะพานหินปอนเตเดลลาชิเวราแห่งเมืองเนสโซแบบสบายๆ ไม่ต้องแย่งกับนักท่องเที่ยวอื่นตรงนั้น ระหว่างทางก่อนกลับถึงโรงแรมคนขับเรือของเรายังชี้บอกด้วยว่าหลังนั้นคือบ้านจอร์จ คลูนีย์ ซึ่งอันนี้เราก็ไม่ได้รู้มาก่อน แต่มารู้เอาตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลย
งานนี้บอกได้เลยว่าต่อให้เราชอบเข้าพิพิธภัณฑ์หรือห้องเก็บเอกสารโบราณของแบรนด์ต่างๆ เพื่อขุดค้นหาข้อมูลมาเขียนบทความเพียงใด แต่การได้ออกไปใช้ชีวิตในแบบที่เป็นไลฟ์สไตล์ตามคอนเซปท์ของนาฬิกาสักรุ่นก็เป็นความรู้สึกที่ดีไม่แพ้กัน และเราก็หวังว่าเราได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วในการถ่ายทอดประสบการณ์นี้ผ่านทางภาพถ่ายและวีดีโอ
Royal Oak Offshore อาจถือกำเนิดในช่วงเวลาแห่งความไม่ชัดเจนในเรื่องกระแสตอบรับของตลาด แต่ไลน์นาฬิกาดังกล่าวก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการนำพาตนเองไปสู่จุดยืนที่เข็มแข็งภายในอุตสาหกรรมนาฬิกา ตัวเรือนที่มีขนาดใหญ่ทำให้ Royal Oak Offshore เหมาะสำหรับการทดลองกับวัสดุและคอมพลิเคชั่นต่างๆ เราจึงได้เห็นนาฬิกาไลน์นี้ที่ผลิตด้วยวัสดุที่หลากหลาย ตั้งแต่สเตนเลสสตีลและทองไปจนถึงไทเทเนียมและฟอร์จคาร์บอน ในเรื่องของคอมพลิเคชั่นนั้นก็มีหลากหลายตั้งแต่โครโนกราฟ เพอร์เพทชวลคาเลนดาร์และตูร์บิยอง ตลอดจนแกรนด์คอมพลิเคชั่นก็มี
วันนี้ Audemars Piguet Royal Oak Offshore ในวัย 30 ปีจัดว่าเป็นชายหนุ่มที่มีความมั่นใจในตนเอง เขาเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม มีศักดิ์ศรีและชั้นเชิงในระดับแข่งขันกับคนอื่นในวงการได้อย่างเต็มภาคภูมิ ในขณะเดียวกันเขาก็พร้อมที่จะเปิดรับความก้าวหน้าและแนวคิดใหม่ๆ ตามความสมควรด้วย ดังนั้นเราก็เชื่อว่าเราจะมีโอกาสได้นำเสนอเรื่องราวของนาฬิกา Royal Oak Offshore ในทุกระดับของราคาและความซับซ้อนอย่างต่อเนื่องจากนี้ไปครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง: Musée Atelier Audemars Piguet is a Compulsory Pilgrimage for Fans of the Brand
The manufacture retells the roots of the 30-year-old collection with a one-day event in Como where powerboat racing, the key inspiration behind the original design, takes center stage.
Words: Ruckdee Chotjinda
In the late 1980s, the Royal Oak was already established as a respected icon within the watchmaking industry. However, it also arrived at the point where sales slowed down, and where its appeal was limited to a more mature clientele. The younger audience needed something with more panache, something more sportive and something sturdier to correspond with their more active lifestyle.
Audemars Piguet managed to diversify and address that upcoming demand with the introduction of the Royal Oak Offshore in 1993. Known as The Beast for its unapologetic size, the timepiece was designed by a young Emmanuel Gueit from Geneva to have a 42 mm stainless steel case on a thick yet curved and refined integrated bracelet. It also came with a chronograph which is, by itself, an embodiment of sportiness. Everything about the watch was daring, and indeed set the trend for large watches that went on for nearly two decades.
Earlier this week, we joined Audemars Piguet in Como, Italy, as the Le Brassus manufacture celebrated the 30th anniversary of the Royal Oak Offshore. The Tullio Abbate boatyard provided the crucial backdrop for the program. A family business currently run by third generation members, Tullio Abbate was a pioneer where lightweight, high-performance materials were concerned. Some of the powerboats they built made headline news including The Boxer of 1985 that was propelled forward with Ferrari 512 BB engines — an idea conceived in collaboration with Ferrari race car driver Didier Pironi.
Powerboat racing is a serious sport where the vessels can easily accelerate to a speed of 60 or 70 knots. Sometimes the boat itself can be seen lurching into the air for brief moments before regaining contact with water. And when these races are held in open waters away from the coast, they would be referred to as “offshore” races.
For Audemars Piguet, the name “Offshore” was registered for the new breed of the Royal Oak even before the product design was completed or finalized. In fact, the manufacture was not so certain of the new line’s success so they opted to have only a “Royal Oak” inscription on the caseback of the first 100 watches. The pieces that followed would be completely marked as “Royal Oak Offshore”. In retrospect, it was the Italians’ positive welcome of the new model that bolstered the confidence of Audemars Piguet – the market had earlier served as a good indicator of whether a product would perform well in the European markets in general.
At the event in Como, Audemars Piguet curated a selection of Royal Oak Offshore watches for the journalists in attendance. Each piece marked certain horological or cultural milestones along the way. One such highlight included the Royal Oak Offshore “End of Days” watch of 1999 that was designed for and featured in the eponymous movie by Arnold Schwarzenegger. The Governator was joined by personalities such as Jay-Z on the occasion of his 10th anniversary in the music business in 2005, and LeBron James who contributed to the wider global reach of the Royal Oak Offshore in 2013.
But the Offshore is more than a chunk of refined metal on the wrist — it represents the ideals of being outgoing and celebratory of life’s vivaciousness. And so, Tullio Abbate prepared a simulated powerboat race for all guests, employing six of their finest crafts (that can actually take passengers, not the enclosed cockpit kind).
Together, the entourage ventured out on Lake Como from Tremezzo, where Tullio Abbate is based, to as far as Onno towards the southeastern end of the lake to take advantage of the lighter boat traffic there. On the return leg of the journey, each boat made sightseeing stops at their own discretion, just because we could. Villa del Balbianello where young Anakin tried to connect with Padme in Star Wars Episode II is as magnificent as we expected it to be, and the Ponte della Civera of Nesso is in fact best viewed from the water. Our driver also pointed to a certain villa on the way to our hotel, saying “George Clooney”, which was sufficiently suggestive of its ownership.
While we typically enjoy sifting through historical archives for random connections or discoveries that we can write about, it was pleasant to be out and about for a change, living the kind of life that a watch was specifically designed for, and sharing the ambiance with you through photographs and videos.
Although its birth was clouded by a measure of uncertainty around market acceptance, the Royal Oak Offshore has proven itself to be a prominent member of the watchmaking industry in just a few years’ time. Its predominantly large size also allowed for experimentation with materials and complications. And for this reason, we have seen incarnations of the Offshore in everything from stainless steel and gold to titanium and forged carbon. In terms of complications, Royal Oak Offshore watches have encompassed anything – from a chronograph, a perpetual calendar and a tourbillon to the grande complications.
Now, at the age of 30, the Audemars Piguet Royal Oak Offshore represents a matured man who is comfortable in his own skin. He is assured of his place among the big players, while the road remains open before him to experiment with new advances and ideas as he may see fit, at all segments of price and technicity. We certainly will be talking more about the range during the remaining months of the year as more novelties are revealed.
See also: Musée Atelier Audemars Piguet is a Compulsory Pilgrimage for Fans of the Brand
