Luxury Brands and Their Coveted Floral Icons

Share this article

ดอกไม้ซิกเนเจอร์จาก 4 แบรนด์ดังที่ใครเห็นก็อยากครอบครอง
บทความ: เนตรนภา ปะวะคัง ภาพเปิด: Van Cleef & Arpels

แบรนด์แฟชั่นชั้นสูงมักจะใช้สัญลักษณ์ที่สร้างความประทับใจและดึงดูดใจลูกค้า โดยเฉพาะสัญลักษณ์ที่เป็นดอกไม้ ซึ่งหลายแบรนด์ก็มีดอกไม้ซิกเนเจอร์ที่แสดงถึงเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของตนเองอย่างชัดเจน ดอกไม้เหล่านี้ไม่เพียงแต่สื่อถึงความงดงามและความหรูหรา แต่ยังบอกเล่าเรื่องราวและปรัชญาการออกแบบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง นอกจากจะมีมูลค่าแล้วก็ยังทรงคุณค่าจนกลายเป็นสิ่งที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากเจ้าของ และนี่คือ 4 แบรนด์หรูที่มาพร้อมดอกไม้ซิกเนเจอร์ที่เราอยากให้คุณรู้จัก

ดอกคามิลเลีย จาก Chanel
กาเบรียล บอเนอร์ ชาแนล หรือที่หลายคนอาจรู้จักกันในชื่อ โคโค่ ชาแนล ก่อตั้งแบรนด์ Chanel เมื่อปี ค.ศ. 1910 ภาพลักษณ์ของกาเบรียลนั้นดูเป็นหญิงแกร่งสมัยใหม่ เรียกได้ว่าฉีกขนบในยุคนั้นหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นการสวมกางเกง การสวมเสื้อผ้าโทนสีเรียบอย่างขาว ดำ เบจ แต่ถึงอย่างนั้น กาเบรียลเองก็ชื่นชอบดอกไม้ไม่ต่างจากหญิงคนอื่นๆ โดยดอกไม้โปรดของกาเบรียลก็คือ คามิลเลีย ดอกไม้เมืองหนาวทรงตูมที่มีรูปทรงอ่อนช้อยและเป็นระเบียบ ลักษณะคล้ายดอกกุหลาบขนาดใหญ่ สื่อถึงความเรียบง่าย บริสุทธิ์ มีชีวิตชีวา สง่างาม และถึงแม้กลีบดอกคามิลเลียจะดูบอบบาง แต่มันก็ยังเบ่งบานได้แม้จะโดนน้ำค้างแข็งเกาะในช่วงฤดูหนาว ซึ่งก็ถูกใจหญิงแกร่งอย่างกาเบรียลเป็นอย่างมาก

กาเบรียลเริ่มปรากฏตัวพร้อมดอกคามิลเลียในปี ค.ศ. 1913 เริ่มตั้งแต่ดอกคามิลเลียสีขาวประดับอยู่บนเข็มขัด ก่อนจะเริ่มไปอยู่บนเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ซึ่งดอกคามิลเลียของกาเบรียลก็มีทั้งที่ทำจากทับทิม เพชร ไข่มุก และต่อมาดอกคามิลเลีย สัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งและความหรูหราเหนือกาลเวลา ก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ประจำแบรนด์ Chanel ซึ่งก็สะท้อนถึงปรัชญาการออกแบบของแบรนด์ Chanel ที่คงไว้ซึ่งความสง่างาม เรียบง่าย และทรงพลังได้อย่างดี ดอกคามิลเลียไม่เพียงแค่ปรากฏอยู่ในผลงานเครื่องแต่งกาย แอคเซสซอรี และเครื่องประดับของ Chanel เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของแบรนด์ด้วย

(ภาพ: Chanel)

ดอกโมโนแกรม จาก Louis Vuitton
ลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ของ Louis Vuitton นี้ถือกำเนิดเมื่อปี ค.ศ. 1896 โดยจอร์จ วิตตอง ออกแบบลายนี้เพื่ออุทิศแด่หลุยส์ วิตตอง บิดาที่เพิ่งล่วงลับซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์ Louis Vuitton ว่ากันว่าได้แรงบันดาลใจมาจากลายกระเบื้องดินเผาลายดอกไม้สี่กลีบที่ปูอยู่ในห้องครัวของบ้านตระกูลวิตตอง ณ เมืองอาส์นิแยร์ ซึ่งเป็นผลงานของแบรนด์เครื่องครัวเซรามิกสัญชาติฝรั่งเศสชื่อว่า Gien แต่บางแหล่งก็ว่าได้แรงบันดาลใจมาจากดีไซน์ดอกไม้สี่เหลี่ยมจตุรัสของญี่ปุ่น โดยจอร์ได้ใส่ตัว L และ V ที่เป็นอักษรย่อของชื่อบิดาในสไตล์ตัวอักษรโรมันลงไป และตั้งใจให้ลายนี้เป็นตัวแทนของสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทายาททุกรุ่นซึ่งเมื่อไปอยู่บนผลงานของ Louis Vuitton ก็ได้รับความนิยมอย่างมากจนเริ่มเกิดการลอกเลียนแบบ จอร์จจึงตัดสินใจจดลิขสิทธิ์ลายดอกโมโนแกรมในปีต่อมา

ดีไซน์แรกของดอกโมโนแกรมมาในสีโทนน้ำตาล แต่ต่อมาก็ถูกดีไซน์ใหม่ในอีกหลายๆ แพทเทิร์น เช่น ดอกโมโนแกรมลายดอกไม้ในสวนแห่งเกาะอีโซลาเบลลา ประเทศอิตาลี ดอกโมโนแกรมลายกระเบื้องโมเสก ซึ่งลวดลายโมโนแกรมของ Louis Vuitton ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนผลิตภัณฑ์กระเป๋าเพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกนำไปใช้ในหลากหลายคอลเลกชัน ตั้งแต่เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ แอคเซสซอรี เช่น ผ้าพันคอ กระเป๋าสตางค์ รองเท้า พวงกุญแจ ชาร์มห้อยกระเป๋า รวมไปถึงบนสินค้าที่ไม่ใช่แฟชั่น เช่น จาน ชาม ถ้วย

(ภาพ: Louis Vuitton)

ดอกกุหลาบอีฟ เพียเจต์ จาก Piaget
ดอกกุหลาบลักษณะพิเศษหายาก ทรงดอกเป็นแบบดั้งเดิม มีกลีบดอกเรียงซ้อนกันถึง 80 ชั้น ไล่เฉดสีอย่างงดงามจากสีชมพูไปสีบานเย็น และมีกลิ่นหอมหวานอมเปรี้ยวแบบซิตรัส ถูกแต่งตั้งให้เป็นดอกไม้ซิกเนเจอร์ประจำเมซง Piaget ผู้รังสรรค์นาฬิกาและเครื่องประดับชั้นสูงสัญชาติสวิสหลังชนะเลิศในการประกวดกุหลาบที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปี ค.ศ. 1982 โดยตั้งชื่อตาม “อีฟ เพียเจต์” ประธานปัจจุบันของ Piaget ผู้ที่เคยได้รับเกียรติให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะลูกขุนของ Geneva International Competition of New Roses ซึ่งอีฟนั้นชื่นชอบและหลงใหลในดอกกุหลาบมาตั้งแต่วัยเยาว์ เนื่องจากหมู่บ้านลา-โค-โตซ์-ฟีส์ ที่ตั้งของโรงงานผลิตนาฬิกา Piaget ที่เขาเติบโตขึ้นมานั้นรายล้อมไปด้วยดอกไม้ป่านานาพันธุ์ โดยเฉพาะกุหลาบป่าชื่อว่า “เอ-กล็องทีน” ซึ่งเติบโตที่ระดับความสูง 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ต่อมาในปี ค.ศ. 2002 ดอกกุหลาบอีฟ เพียเจต์ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคอลเลกชันเครื่องประดับไอคอนิกของเมซงในชื่อ “Piaget Rose” ที่นำอัญมณีหรูหราไม่ว่าจะเป็นทอง เพชร ทัวร์มาลีนสีชมพูและสีเขียว โอปอลสีชมพูลูกกวาด และอื่นๆ มารังสรรค์เป็นสร้อยคอพร้อมจี้ สร้อยข้อมือ แหวน และต่างหู รวมถึงนาฬิกาอีก 4 เรือน ถือเป็นการเฉลิมฉลองความงามและความหมายอันลึกซึ้งของดอกกุหลาบที่เป็นตัวแทนของความรัก ความสุข และความเอื้ออาทร ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาที่ Piaget ยึดถือมาโดยตลอด พร้อมสะท้อนถึงความหรูหราของเมซงได้เป็นอย่างดี

(ภาพ: Piaget)

ใบโคลเวอร์สี่แฉก จาก Van Cleef & Arpels
“Alhambra” คือชื่อคอลเลกชันเครื่องประดับสุดโด่งดังของแบรนด์เก่าแก่จากปารีสอย่าง Van Cleef & Arpels เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1968 ตั้งชื่อตามลวดลายตกต่างภายในพระราชวัง “อัลฮัมบรา” หรือพระราชวังป้อมปราการสีแดงอันงดงามวิจิตรในเมืองกรานาดา ประเทศสเปน ที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13-14 ดีไซน์เป็นโมทีฟรูปทรงใบโคลเวอร์สี่แฉกที่ถูกร้อยเรียงและประกอบเข้าด้วยกันเป็นเครื่องประดับหลากประเภท ทั้งสร้อยคอพร้อมจี้ สร้อยข้อมือ แหวน ต่างหู และนาฬิกา ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างมากในฐานะเครื่องประดับนำโชค เนื่องจากใบโคลเวอร์สี่แฉกเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี จึงเชื่อกันว่าจะนำโชคมาสู่ผู้สวมใส่นั่นเอง

ตลอดระยะเวลากว่าหกสิบปีนับตั้งแต่เปิดตัว เครื่องประดับในคอลเลกชัน Alhambra ได้มีการพัฒนาทั้งด้านวัสดุและดีไซน์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ใบโคลเวอร์สี่แฉกของคอลเลกชันในปีนี้ถูกสร้างสรรค์จากทองคำทั้งสีเหลือง ทองคำขาว และทองคำสีโรสโกลด์ ที่มีลวดลายริ้วรัศมีตะวันที่เรียกว่า “กวิโญเช” ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะที่ Van Cleef & Arpels เริ่มใช้ในปี ค.ศ. 2018 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของคอลเลกชัน ส่วนอัญมณีที่ใช้ในปีนี้เป็นโมราสีฟ้าสดที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีอัญมณีชนิดอื่นๆ ให้เลือกอีกมากมาย เช่น เพชร เปลือกหอยมุก คาร์เนเลียน มาลาไคต์ ไทเกอร์อาย โอนิกซ์ ซึ่งอัณมณีแต่ละชนิดก็มีความหมายแตกต่างกันไป ผู้สวมใส่จึงสามารถเลือกเสริมพลังบวกให้กับตัวเองได้ตามด้านที่ต้องการ

(ภาพ: Van Cleef & Arpels)

บทความที่เกี่ยวข้อง: Fall Colors and Accessories Trends 2024

Get Exclusive Connections with LUXUO Thailand
Join us today
Connect!
Close
Join us for exclusive access to Luxuo Thailand's contents and events
Subscribe
close-image