Tod’s กับความคลาสสิก หรูหรา และร่วมสมัย ในแบบฉบับอิตาเลียน
บทความ: LuxuoTH
“จริยธรรม การออกแบบ และความคิดสร้างสรรค์” สามสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญในการดำเนินงานของ Tod’s แบรนด์แฟชั่นชั้นสูงจากอิตาลีที่ถ่ายทอดไลฟ์สไตล์แบบฉบับอิตาเลียนออกมาได้อย่างชัดเจน ผ่านผลงานแฟชั่นที่หรูหรา ร่วมสมัย มีระดับ และเหนือกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย แอคเซสซอรี เครื่องหนัง โดยเฉพาะกระเป๋าและรองเท้า
Tod’s ก่อตั้งในช่วงปลายยุค 1920 หรือประมาณร้อยปีที่แล้ว โดยฟิลิปโป เดลลา วัลเล ที่ปรารถนาให้ผู้คนได้สวมใส่รองเท้าที่ตัดเย็บอย่างดี สวยงาม ดูมีสไตล์ และสวมใส่สบาย Tod’s ในช่วงแรกเริ่มเป็นโรงงานทำรองเท้าขนาดเล็กที่รับผลิตรองเท้าประทับตรา “เมด อิน อิตาลี” ให้กับแบรนด์รองเท้าสัญชาติสหรัฐอเมริกา ยังไม่ได้ผลิตผลงานภายใต้ชื่อของตัวเอง จนกระทั่งในช่วงปี ค.ศ. 1970 ดิเอโก เดลลา วัลเล ผู้เป็นหลานชายได้เข้ามารับช่วงต่อในการบริหารกิจการ จึงได้เริ่มผลิตรองเท้าภายใต้ชื่อแบรนด์ Tod’s และเปิดแฟลกชิฟสโตร์แรกในแคว้นมาร์เค ประเทศอิตาลี บ้านเกิดของแบรนด์ ก่อนจะขยับขยายไปทั่วยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ชื่อ Tod’s อาจดูไม่มีกลิ่นอายอิตาเลียนเท่าใดนัก นั่นเพราะว่า ดิเอโก ตั้งใจให้ชื่อจำง่ายในระดับสากล โดยเฉพาะในหมู่ชาวอเมริกันซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักในตอนนั้น ว่ากันว่า ดิเอโก เห็นชื่อ J.P. Tod’s มาจากในสมุดโทรศัพท์ของอเมริกา จึงนำมาใช้ตั้งเป็นชื่อแบรนด์ ก่อนจะปรับเหลือเพียงแค่ Tod’s ดังเช่นปัจจุบัน เพราะชาวอเมริกันในยุคนั้นเริ่มจดจำและเรียกชื่อแบรนด์เพียงแค่ J.P. ไม่ใช่ Tod’s ดังที่ควรเป็น แต่ถึงแม้ชื่อจะดูไม่ใช่อิตาเลียน ดีเอ็นเอของ Tod’s ไม่ว่าจะด้านการออกแบบและการผลิตก็เป็นอิตาเลียนอย่างแท้จริง
หากจะกล่าวถึงผลงานซึ่งเป็นที่จดจำและถือเป็นไอคอนิกไอเท็มของ Tod’s ก็น่าจะเป็น “Gommino” รองเท้าไดรฟ์วิ่ง โลเฟอร์ที่มาพร้อมเอกลักษณ์อย่างปุ่มยาง 133 ปุ่มที่พื้นและด้านหลังรองเท้าซึ่งเป็นที่มาของชื่อ เพราะคำว่า Gommino ในภาษาอิตาเลียนแปลว่า ยาง นั่นเอง Gommino มีชิ้นส่วนกว่าร้อยชิ้น และประกอบขึ้นด้วยมือทั้งหมด นับตั้งแต่ออกมาอวดโฉมในช่วงปลายยุค 1970 ก็ได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย เนื่องจากมีให้เลือกในหลากหลายวัสดุและสีสัน ดีไซน์คลาสสิก และมีคุณภาพสูง นำไปมิกซ์แอนด์แมทช์ได้ง่าย ใช้ได้ในหลายโอกาส สมกับที่เป็นผลงานรองเท้าจากช่างฝีมือแห่งอิตาลี
อีกหนึ่งไอเท็มของ Tod’s ที่ไอคอนิกไม่แพ้กัน ก็คือ “Di Bag” กระเป๋าหนังลูกวัวกับเอกลักษณ์รอยตะเข็บกลางกระเป๋าที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 1997 และกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหมู่นักแสดงฮอลลีวูด เซเลบริตี้ รวมถึงบรรดาสมาชิกราชวงศ์ เช่น เจ้าหญิงไดอานาแห่งเวลส์ เจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งโมนาโก Di Bag เป็นผลงานที่เกิดจากความอยากผสมผสานความคิดสร้างสรรค์เข้ากับการทดลองอะไรใหม่ ๆ แต่ยังคงไม่ทิ้งความคลาสสิก และความเป็นงานหัตถศิลป์ชั้นยอด ปัจจุบัน Di Bag นั้นมีหลายขนาดหลากสี ทั้งยังมีดีไซน์ใหม่ ๆ อย่าง Di Bag Reverse หรือ My Di Bag ที่พิเศษตรงที่ผู้ใช้สามารถคัสตอมกระเป๋า Di Bag ในสไตล์ของตัวเองได้
Tod’s ในขณะนี้ ได้มัตเตโอ ตามบูรีนี ดีไซเนอร์ชาวอิตาเลียนวัย 42 ปี ที่เริ่มมีผลงานในวงการแฟชั่นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 และได้ร่วมสร้างสรรค์ผลงานกับแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะแบรนด์จากประเทศบ้านเกิด เช่น Emilio Pucci, Bottega Veneta มาร่วมงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์คอลเลกชันบุรุษและสตรีคนใหม่ตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยผลงานเดบิวต์ของมัตเตโอกับ Tod’s อย่างคอลเลกชัน Women’s Fall-Winter 2024/25 ที่โชว์ในงานมิลานแฟชั่นวีค 2024 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้นมีความผสมผสานสองสิ่งที่ดูขัดแย้งกัน เช่น ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่เร่งรีบและความสบายไม่รีบร้อน ความลำลองและความทางการ ขนบดั้งเดิมและนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เข้ากันได้อย่างลงตัว โทนสีที่ใช้ดูคลาสสิก เช่น กรมท่า เทา ดำ เบจ สีหนังธรรมชาติ ในแนวโมโนโทน ที่ยิ่งขับให้รายละเอียดและความประณีตของแต่ละชิ้นงานยิ่งโดดเด่น โดยมีคีย์พีซ เช่น เทรนช์โค้ทหนัง เสื้อโค้ทผ้าขนแกะสไตล์มาสคูลีน แจ็กเก็ตทหารทรงหลวม เรียกได้ว่าเป็นการนำแบรนด์ไปสู่ประวัติศาสตร์บทใหม่ คือ เป็น Tod’s ที่ดูทันสมัยขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งความสมบูรณ์แบบตามฉบับอิตาเลียนที่แบรนด์ยืดถือ
นอกจากผลงานของ Tod’s ทุกชิ้นจะสร้างสรรค์ขึ้นจากวัสดุชั้นเลิศ และผ่านกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันตามแบบฉบับช่างฝีมืออิตาเลียนแล้ว การสร้างสรรค์ผลงานยังอยู่ภายใต้แนวคิดอีโคดีไซน์ หรือการออกแบบอย่างยั่งยืน นั่นคือ ทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การเลือกใช้วัสดุ การผลิต บรรจุภัณฑ์และการขนส่ง การนำไปใช้ รวมถึงการทำลายทิ้ง จะต้องส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด การค้นคว้าวิจัยเพื่อให้ผลงานที่ผลิตออกมาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น รีไซเคิลหรือนำกลับไปใช้ใหม่ได้ เมื่อสิ้นอายุการใช้งานก็สามารถทำลายได้โดยไม่กระทบต่อธรรมชาติ รวมถึงการถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ Tod’s ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง นั่นก็เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอุตสาหกรรมแฟชั่น
บทความที่เกี่ยวข้อง: Loafers: A Classic Style That Never Goes Out of Fashion