3 แบรนด์ระดับโลกกับคอลเลกชันพิเศษที่ร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลก
บทความ: เนตรนภา ปะวะคัง ภาพเปิด: Omega
ในโลกที่เราสามารถเลือกซื้อสินค้าและบริการได้อย่างหลากหลาย การเลือกสนับสนุนสิ่งที่ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการของเรา แต่ยังส่งผลดีต่อสังคมด้วย ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สร้างความรู้สึกดีให้กับเราได้อย่างมาก หลายแบรนด์ระดับโลกในปัจจุบันไม่เพียงแต่นำเสนอสินค้าที่หรูหราและมีคุณภาพ แต่ยังมีการร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้คนทั่วโลกอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับคอลเลกชันสินค้าต่างๆ จาก 3 แบรนด์ดังระดับโลกที่เมื่อคุณเลือกซื้อ คุณก็ได้มีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้ด้วย
1. Bulgari คอลเลกชัน Save the Children
Bulgari เปิดตัวเครื่องประดับคอลเลกชัน Save The Children ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2009 ในวาระครบรอบ 125 ปีของแบรนด์ โดย Bulgari จะบริจาคเงิน 95 ยูโรจากการจำหน่ายเครื่องประดับในคอลเลกชันนี้แต่ละชิ้นให้กับทาง “Save the Children” องค์กรอิสระระดับโลกที่ดำเนินการมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยทำงานด้านสิทธิเด็กและเยาวชนในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การทำงานและประกอบอาชีพ สิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง สิทธิด้านสุขภาพ รวมถึงการปกป้องและคุ้มครองเด็กจากภยันอันตรายและความรุนแรงทุกรูปแบบ ปัจจุบันได้ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนเด็กทั่วโลกไปกว่าหนึ่งพันล้านคนใน 120 ประเทศทั่วโลก ซึ่ง Save the Children ก็ทำงานในประเทศไทยมาแล้วกว่า 40 ปี และได้จัดตั้งเป็น “มูลนิธิช่วยเหลือเด็ก (ประเทศไทย)” เมื่อปี ค.ศ. 2022
เครื่องประดับในคอลเลกชัน Save the Children ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคอลเลกชัน B.zero1 อันโด่งดัง ประกอบด้วยแหวนเงินแท้ประดับเซรามิก สร้อยข้อมือเงินแท้ประดับเซรามิก และสร้อยคอเงินแท้ที่มีให้เลือกทั้งแบบเงินแท้ประดับเซรามิค เงินแท้ประดับด้วยทับทิมและโอนิกซ์ซึ่งเป็นรุ่นฉลอง 10 ปีแห่งความร่วมมือระหว่าง Bulgari และ Save the Children และล่าสุดในปี ค.ศ. 2024 กับสร้อยคอเงินแท้ในแคมเปญ “With Me With You” รุ่นฉลอง 15 ปี โดยดีไซน์ของเครื่องประดับในคอลเลกชันนี้ทุกชิ้นมีความเรียบหรู เหนือกาลเวลา สามารถสวมใส่ได้ทุกวัน ความพิเศษคือ สำหรับแหวน สร้อยคอประดับเซรามิก และสร้อยคอรุ่นฉลอง 15 ปี คุณสามารถสลักตัวอักษรที่ต้องการลงไปได้ด้วยสูงสุด 3 ตัวอักษร ซึ่งที่ผ่านมา Bulgari ก็มอบทุนให้กับองค์กร Save the Children ไปแล้วกว่า 105 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
2. Omega Orbis Edition
Omega แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิสเป็นผู้สนับสนุนองค์กร “Orbis International” และ “Flying Eye Hospital” มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 โดย Orbis International เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1982 เพื่อป้องกันและรักษาภาวะสูญเสียการมองเห็นที่สามารถป้องกันได้ในประเทศกำลังพัฒนาด้วยการให้การรักษา ฝึกอบรมแพทย์ท้องถิ่น ให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพ รวมถึงให้การสนับสนุนและร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่นในกิจการที่เกี่ยวข้อง โดยทีมงานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ Orbis International จะเดินทางไปปฎิบัติภารกิจในประเทศต่างๆ ด้วย “Flying Eye Hospital” เครื่องบินขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลจักษุในตัวซึ่งมีเพียงลำเดียวในโลก ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ปฏิบัติภารกิจไปแล้วในกว่า 200 ประเทศทั่วโลก และในปี ค.ศ. 2011 แบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Omega อย่างแดเนียล เครกก็ได้เดินทางไปสังเกตการณ์การทำงานของอาสาสมัครและผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุของ Orbis International ที่มองโกเลีย ซึ่งประสบการณ์ในครั้งนี้ของเขาก็ถูกบันทึกไว้ในสารคดีที่ชื่อ “Through Their Eyes” จากนั้นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนอื่นๆ ของ Omega เช่น ซินดี ครอว์ฟอร์ดและคายา เกอร์เบอร์ ลูกสาวของเธอก็ได้เดินทางไปเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของ Orbis International ที่เปรูเช่นกัน
Omega ให้การสนับสนุน Orbis International ในหลายด้าน ทั้งการจัดหาตุ๊กตาหมีเทดดี้น่ารักน่ากอดให้องค์กรนำไปมอบให้ผู้ป่วยเด็กเพื่อช่วยปลอบประโลมจิตใจและคลายความกลัวการมาโรงพยาบาล การเปิดให้ผู้ที่ต้องการสามารถบริจาคเงินให้องค์ได้โดยตรงผ่านเว็บไซต์ของ Omega รวมถึงการมอบรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายนาฬิกาเอดิชัน Orbis แต่ละเรือนให้กับองค์กร ซึ่งปัจจุบันนาฬิกาของ Omega ที่มีเอดิชัน Orbis ได้แก่ Speedmaster 38 Orbit Edition นาฬิกาโครโนกราฟสแตนเลสสตีลรุ่นพิเศษที่มาพร้อมสเกลทาคีมิเตอร์อันโด่งดังของ Speedmaster บนขอบตัวเรือนอะลูมิเนียมสีน้ำเงิน หน้าปัดเป็นสีน้ำเงินซันบรัช ส่วนหน้าปัดย่อยเป็นวงรีสีฟ้าอ่อน เข็มในหน้าปัดย่อยเป็นสีฟ้าสดใส เช่นเดียวกับเข็มวินาทีตรงกลางที่เพิ่มความพิเศษด้วยการมีปลายด้านหนึ่งเป็นรูปตุ๊กตาหมีเทดดี้ Orbis และที่ฝาหลังก็มีการประทับรูปตุ๊กตาหมีเทดดี้ Orbis เช่นกัน
3. Apple (Product)Red
Apple ร่วมมือกับ (Red) มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 โดย (Red) นั้นเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ก่อตั้งโดยพอล เดวิด ฮิวสัน หรือที่รู้จักกันในนาม โบโน่ นักร้องนำแห่งวงร็อคระดับตำนานอย่าง U2 และบ็อบบี ชริเวอร์ นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวชื่อดังชาวอเมริกัน เพื่อช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ และต่อต้านการแพร่ระบาดของโรคโดยเฉพาะในทวีปแอฟริกาที่มีการระบาดรุนแรง ด้วยการร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำและบุคคลผู้มีชื่อเสียงระดับโลกในการผลิตสินค้าสีแดงภายใต้สัญลักษณ์ (Product)Red และทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อระดมทุนและนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายสินค้า (Product)Red ไปบริจาคให้กับองค์กรและโครงการระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ เช่น แผนงานฉุกเฉินของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเพื่อแก้ปัญหาโรคเอดส์ทั่วโลก (PEPFAR) ที่มอบยารักษาโรคเอดส์ให้กับประเทศในทวีปแอฟริกา ซึ่งสาเหตุที่ต้องเป็นสีแดงก็เพราะหมายถึง “เหตุฉุกเฉินวิกฤติ (Emergency)” นั่นเอง
สินค้า (Product)Red Special Edition ชิ้นแรกของ Apple คือ iPod nano ตัวเครื่องอะลูมิเนียมสีแดงสดใส ที่วางจำหน่ายในปี ค.ศ. 2006 จากนั้น Apple ก็ได้ออกสินค้าและบริการภายใต้สัญลักษณ์ (Product)Red ออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกิฟต์การ์ด iTunes, iPod shuffle, iPod touch รวมถึงแอคเซสซอรีต่างๆ เช่น เคส สายคล้อง ก่อนที่ Apple จะเลิกผลิตสินค้าในไลน์เครื่องฟังเพลงไป แต่จากนั้นในปี ค.ศ. 2017 Apple ก็ได้เปิดตัว iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สีแดงสวยสดใสซึ่งเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นแรกภายใต้สัญลักษณ์ (Product)Red Special Edition เพื่อเฉลิมฉลองความร่วมมือระหว่าง Apple และองค์กร (Red) ที่มีมายาวนานนับสิบปี ปัจจุบันสินค้าของ Apple (Product)Red มีทั้ง Apple Watch Series 9, iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 13, iPhone SE และแอคเซสซอรีอย่างซิลิโคนเคสแบบมี Magsafe นับตั้งแต่ก่อตั้ง องค์กร (Red) บริจาคเงินให้กับองค์กรต่างๆ ไปแล้วกว่า 760 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากกว่า 290 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งแค่เฉพาะ Apple ก็บริจาคเงินให้กับ (Red) ไปแล้วกว่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
บทความที่เกี่ยวข้อง: Green-Toned Luxury Items To Cause Envy