5 สิ่งที่หลายคนไม่รู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์นานนับศตวรรษและอนาคตจากนี้ไปของ Bentley
บทความ: รักดี โชติจินดา ภาพ: Bentley
กองบรรณาธิการ Luxuo Thailand พบเจอกับข้อมูลและตัวเลขต่างๆ ที่น่าสนใจทุกวัน ที่ผ่านมาเรามีการผลิตวีดีโอในชุดชื่อ Quick Fact เพื่อเผยแพร่ทาง Facebook ด้วย แต่ก็ไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะมีภาพเคลื่อนไหวหรือแม้แต่ภาพนิ่งให้เราใช้ประกอบกับเนื้อหาที่น่าสนใจเหล่านั้นจนบางครั้งก็ต้องยอมล้มเลิกความตั้งใจในการสร้างคอนเทนท์บางชิ้นไป สำหรับในครั้งนี้ถือเป็นโชคดีของเราที่ Bentley มีเซิร์ฟเวอร์ให้สื่อเข้าไปโหลดข้อมูลและรูปภาพที่ต้องการใช้ได้โดยเฉพาะ เราจึงสามารถร้อยเรียงทุกสิ่งเป็นบทความเต็มรูปแบบได้อย่างที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้
Rolls-Royce เคยเป็นเจ้าของ Bentley อยู่นานถึงเกือบ 70 ปี
หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่าสองยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ของอังกฤษเขาเคยเป็นญาติแบบเกี่ยวดองกันอยู่นาน Bentley ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1919 ด้วยเป้าหมายในการ “สร้างรถที่ดี รถที่เร็วและรถที่เหนือชั้น” ซึ่งธุรกิจของ Bentley ก็ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจของโลกในปี ค.ศ. 1931 จนบริษัทขาดสภาพคล่องถึงระดับที่ไม่สามารถทำธุรกิจต่อได้ Rolls-Royce จึงเข้าซื้อกิจการของ Bentley ซึ่งเป็นบริษัทร่วมชาติในปีเดียวกันนั้นเองและยังคงผลิตรถในชื่อ Bentley ต่อไปด้วย โดยรถของ Rolls-Royce และรถของ Bentley จะมีความแตกต่างกันชัดเจนอยู่ตรงที่ Bentley รุ่นต่างๆ จะมีความเป็นสปอร์ตมากกว่าโดยธรรมชาติ
แต่เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1970 ทางด้าน Rolls-Royce ก็ประสบปัญหาด้านการเงินบ้างจนต้องเฉือนธุรกิจผลิตรถยนต์ออกมาขายและเก็บเฉพาะธุรกิจผลิตเครื่องยนต์สำหรับอากาศยานไว้กับตัว บริษัทที่ซื้อธุรกิจผลิตรถยนต์ของ Rolls-Royce ไปมีชื่อว่า Vickers ซึ่งเมื่อถึงปี ค.ศ. 1998 ก็ขายธุรกิจนี้ให้กับ Volkswagen อีกทอดหนึ่ง แต่ว่า Volkswagen ก็สามารถเก็บเฉพาะ Bentley เอาไว้ และต้องปล่อยชื่อ Rolls-Royce ให้ไปอยู่กับบ้าน BMW ในปี ค.ศ. 2003 ซึ่งหากจะแจกแจงความซับซ้อนของดีลนี้ก็ต้องใช้เนื้อที่กันอีกหนึ่งบทความเต็มๆ เลย
โรงงานของ Bentley ที่เมืองครูว์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังจากที่ Rolls-Royce ซือ Bentley ในปี ค.ศ. 1931 ก็มีการย้ายฐานการผลิตของ Bentley ไปไว้ที่เมืองเดอร์บี้อยู่หลายปี ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง Rolls-Royce ก็สร้างโรงงานแห่งใหม่ขึ้นที่เมืองครูว์ซึ่งมีเส้นทางถนนและรถไฟเชื่อมต่อกับเดอร์บี้โดยสะดวก การสร้างโรงงานแห่งดังกล่าวในปี ค.ศ. 1938 เป็นการตัดสินใจร่วมกับรัฐบาลอังกฤษเพื่อใช้เป็นฐานผลิตเครื่องยนต์สำหรับอากาศยานที่กองทัพอากาศจำเป็นต้องใช้ในสงครามโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น
จากแฟ้มประวัติปรากฏว่า Rolls-Royce มีการผลิตเครื่องยนต์รุ่น Merlin จำนวน 26,065 เครื่องที่โรงงานแห่งนี้เพื่อใช้ในอากาศยานประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินขับไล่แบบ Spitfire และ Hurricane หรือเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ Lancaster และ Halifax เมื่อสงครามสิ้นสุดลง Rolls-Royce ก็ปรับเปลี่ยนการใช้งานโรงงานที่เมืองครูว์แห่งนี้เสียใหม่ให้กลายเป็นโรงงานผลิตรถ Bentley ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 เป็นต้นมา ปัจจุบันที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของ Bentley ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางถึง 521,111 ตารางเมตร (โดยในจำนวนนี้มี 166,930 ตารางเมตรเป็นพื้นที่ภายในอาคาร) และเป็นที่ทำงานของพนักงานราว 4,000 ชีวิต
ในช่วงเริ่มแรกหากลูกค้าต้องการตรารูปตัวบีมีปีกแบบหุ่นต้องจ่ายเงินซื้อออปชั่นเพิ่มอีก 5 กินี
หากย้อนกลับไปถึงช่วงก่อตั้งบริษัทจะพบว่ารถ Bentley ที่ออกมาทุกคันนั้นจะมีตรารูปตัวบีมีปีกแบบแบนติดอยู่ตรงหน้ากระโปรงรถเท่านั้น หากอยากได้ตรารูปตัวบีมีปีกแบบหุ่นจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 5 กินี (กินีคือหน่วยเงินของอังกฤษที่เลิกใช้ไปในปี ค.ศ. 1971) ตราดังกล่าวนี้มีการปรับเปลี่ยนรูปโฉมไปตามกาลเวลา จากแรกสุดเลยที่ผลิตด้วยทองเหลืองและมีปีกอยู่ในแนวนอนก็ค่อยๆ มีความเพรียวลมมากขึ้นด้วยปีกที่ลู่ไปข้างหลังในช่วงที่โรงงานย้ายมาตั้งที่เดอร์บี้ ในภายหลังตราสัญลักษณ์ดังกล่าวได้กลายเป็นตัวแทนแห่งความเป็นเลิศในการผลิตรถยนต์ไปโดยปริยาย แต่แล้วธรรมเนียมในการติดตราดังกล่าวไว้ตรงกระโปรงรถก็ต้องหยุดไปในยุคทศวรรษที่ 1970 เมื่อมีกฎหมายออกมาควบคุมเรื่องการติดเครื่องประดับบนกระโปรงรถเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับคนเดินถนน
Bentley นำตรารูปตัวบีมีปีกแบบหุ่นกลับมาอีกครั้งในปี ค.ศ. 2006 เมื่อเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถสร้างกลไกที่จะดึงตราดังกล่าวกลับลงมาเก็บซ่อนได้โดยอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน จากนั้นจึงมีการอัพเกรดเพิ่มเติมในปี ค.ศ. 2019 เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของบริษัทซึ่งรถรุ่น Flying Spur ที่ออกในปีนั้นจะมีตรารูปตัวบีมีปีกแบบหุ่นที่ทำงานพ่วงกับระบบเปิดไฟต้อนรับและระบบขึ้นรถโดยไม่ใช้กุญแจ โดยตราสัญลักษณ์ดังกล่าวจะปรากฏตัวขึ้นมาด้วยระบบไฟฟ้าและมีแสงสว่างส่องออกมาด้วย!
Bentley ลงมือปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อความยั่งยืนระยะยาวในเชิงประจักษ์
ทุกธุรกิจในโลกต้องให้ความสนใจกับเรื่องความยั่งยืนและการปรับปรุงการดำเนินงานของตนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด หรือบ้างก็เลือกให้การสนับสนุนหน่วยงานอื่นที่ช่วยลดผลกระทบหรือช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในทางอ้อม สำหรับ Bentley นั้นกระบวนการปรับเปลี่ยนสู่อนาคตมีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมาตั้งแต่แรกเริ่ม โดยในปี ค.ศ. 2020 หรือหนึ่งปีหลังจากการฉลองครบรอบ 100 ปีของบริษัท Bentley ก็ประกาศกลยุทธ์ Beyond100 เพื่อการก้าวต่อไปในฐานะ “ผู้นำระดับโลกในด้านการผลิตยานพาหนะระดับลักชัวรีที่มีความยั่งยืน” ด้วยการทำให้องค์กรของตนเองมีการสร้างคาร์บอนเป็นศูนย์ และด้วยการทำให้รถของตนทุกรุ่นเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยสมบูรณ์ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2030
ทั้งนี้ เมื่อ Bentley มีการลดน้ำเสีย ลดการใช้สารละลายสีตลอดจนพลาสติก ประกอบกับความพยายามในการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและการปลูกป่าทดแทน โรงงานที่เมืองครูว์ของ Bentley จะมีส่วนช่วยลดมลภาวะได้มากกว่าที่ตนเองสร้างภายในปี ค.ศ. 2030 ด้วยเช่นกัน อย่างในเดือนมิถุนายนปีนี้ Bentley ก็ประกาศแผนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลเวอร์ชั่นใหม่ที่ครูว์เพื่อยกระดับการสร้างพลังงานให้ได้เท่ากับ 75% ของปริมาณไฟฟ้าที่ทางโรงงานจำเป็นต้องใช้ในช่วงกลางวัน หากใครไปเยือนโรงงานแห่งนี้ก็จะเห็นแผงโซลาร์เซลมากมายเป็นพื้นที่เทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 9 สนาม และหากคุณเป็นคนหนึ่งที่โชคดีได้ไปเยือนโรงงานแห่งนี้ก็อย่าลืมขอน้ำผึ้ง Bentley ติดมือมาด้วยกระปุกหนึ่ง เพราะว่าน้ำผึ้งนี้ผลิตโดยประชากรผึ้งนับล้านตัวใน 17 โรงเลี้ยงที่ Bentley จัดให้มีขึ้นเพื่อความหลากหลายทางด้านชีวภาพและเพื่อช่วยเรื่องการผสมเกสรของดอกไม้นานาพันธุ์ในแถบชนบทของมณฑลเชสเชอร์แห่งนี้
ธุรกิจต่อไปที่ Bentley จะพัฒนาอย่างจริงจังคือธุรกิจผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์
Bentley มีข้าวของเครื่องใช้เล็กๆ น้อยๆ เหมือนกับแบรนด์ผู้ผลิตรถอื่นๆ แต่ว่าที่ Bentley มีมากกว่าคนอื่นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 ก็คือแบรนด์น้ำหอม Bentley ที่รังสรรค์โดยเหล่านักปรุงน้ำหอมชาวฝรั่งเศสที่มีฝีมือ น้ำหอม Bentley ส่วนมากเป็นน้ำหอมกลิ่นสำหรับผู้ชาย แต่ก็มีบ้างบางกลิ่นที่ระบุมาชัดเจนเลยว่าคิดค้นมาให้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงใช้ได้เหมือนกัน ขวดน้ำหอม Bentley แต่ละรุ่นนั้นจะมีรายละเอียดที่ยกมาจากการตกแต่งภายในรถ อย่างเช่นลายข้าวหลามตัดบนเบาะหนังและลายกลึงบนชิ้นส่วนที่เป็นโลหะ แล้วยังมีน้ำหอมไลน์ Crystal ที่มีขวดคริสตอลรูปตัวบีมีปีกที่เป็นฝีมือการผลิตของ Lalique อีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น Bentley ยังอยากที่จะมีส่วนร่วมในไลฟ์สไตล์ของคุณมากกว่าแค่การเป็นรถในโรงจอดด้วย เราจึงเห็นผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ในชื่อแบรนด์ Bentley Home ซึ่งเป็นผลงานที่พัฒนาร่วมกับบริษัท Luxury Living Group จากประเทศอิตาลี และที่กำลังจะเกิดขึ้นจากนี้ไปก็คือที่พักอาศัยในชื่อแบรนด์ Bentley ซึ่งโครงการแรกเปิดตัวไปเมื่อปี ค.ศ. 2021 และมีกำหนดจะสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2026 นั่นก็คือ Bently Residences Miami บนหาดซันนี่ไอเอิลส์ของไมอามี่ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาร่วมกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Dezer Development ของประเทศสหรัฐอเมริกา
บทความที่เกี่ยวข้อง: Rolls-Royce Spectre Officially Unveiled in Thailand
Everyone appreciates that Bentley makes great cars, but we think these trivial details are fun and useful to know as well.
Words: Ruckdee Chotjinda Photo: Bentley
We come across all kinds of facts and figures regarding the major brands of the world in our daily routine at Luxuo Thailand. We also have a running series of short videos called Quick Fact on our Facebook page, but some ideas cannot be implemented due to lack of footage or visuals from the brands concerned. Fortunately for us, Bentley operates a rich and resourceful media server that allows us to put together this collection of less known facts about the British marque who celebrated their centenary four years ago in 2019.
Rolls-Royce owned Bentley for nearly seven decades
The two great names in the automobile industry did share a bit of history together. Originally established in 1919 “To build a good car, a fast car, the best in its class”, the Bentley company was well until it was so severely affected by the Great Depression of 1931 that it came under receivership. Rolls-Royce stepped in to acquire the compatriot company and operated it under the original name. Their cars remained largely distinguished with Bentley always being more sportive by nature.
Another financial situation affected Rolls-Royce itself in 1970, forcing it to sell their motorcar business to another British firm called Vickers while keeping the aircraft engine business. Final separation began in 1998 when Volkswagen acquired that business from Vickers but was able to keep only Bentley while the Rolls-Royce name eventually fell into the hands of BMW in 2003, but that is a lengthy story for another article of its own.
The Crewe facility was originally built in anticipation of World War II
Following the acquisition of Bentley by Rolls-Royce in 1931, production of Bentley cars was moved from Cricklewood to Derby for a few years. During this same time, Rolls-Royce had built a factory in Crewe in 1938 because of the road and rail connections to Derby. This decision was made in association with the British government as the Crewe site was intended for the production of aircraft engines that were needed to ensure air superiority of the Royal Air Force.
According to the archives, a total of 26,065 Rolls-Royce Merlin engines were produced here for installation in a variety of aircrafts such as the Spitfire and the Hurricane fighters, and the Lancaster and Halifax bombers. Following the conclusion of the war, the facilities of Rolls-Royce were repurposed with this Crewe facility becoming the home of Bentley cars in 1946. Today, this headquarters spans 521,111 square meters (with 166,930 square meters being indoor areas) and hires about 4,000 people.
The Flying B bonnet ornaments used to cost customers five guineas each as an option
It may be hard to imagine but the Flying B mascot was a paid option back when the company started. The flat, winged B badge was used as the standard at the time. Customers had to pay extra five guineas (a British currency unit used up until 1971) if they wanted one of those upright mascots on the bonnet which has since become a symbol of automotive excellence. The Flying B mascot itself has evolved over time. The earliest ones were made in brass with horizontally held wings. It became more streamlined when the factory was moved to Derby, eventually with rearward-facing wings, until the practice of having a solid bonnet ornament had to be stopped due to a new pedestrian protection law in the 1970s.
Bentley brought back the Flying B mascot in 2006 when modern technology made it possible to have a mechanism that retracts it automatically upon impact in the interest of safety. It was restyled once more on the occasion of the company’s centenary celebration in 2019. This time, on the Flying Spur, the mascot is linked to the welcome lighting sequence and the keyless entry system in such a way that it is electronically-deployed and also illuminated!
Bentley is not only serious but also empirical about its sustainability
With sustainability having become a keyword in today’s commercial battlefront, businesses around the world need to do what they can in order to minimize the impact their operations have on the environment or contribute to causes that work towards mitigation or rehabilitation. In this regard, Bentley has proven to be quick, pragmatic and communicative. The Bentley Beyond100 strategy was announced in 2020, following the company’s 100th anniversary celebration the year before. It entailed the company becoming “a global leader in sustainable luxury mobility” through the state of carbon neutrality and through the offering of only full electric vehicles by 2030.
Together with the efforts to reduce waste water, paint solvents and plastic, and to increase investment in renewable energy and reforestation projects, the Crewe facility will become a climate positive factory by that same year as well. Already, in June this year, Bentley announced that they will install the next generation solar panels at the Crewe headquarters in order to increase the total energy generation capacity to 75% of the facility’s daytime electricity demand. Visitors to the site will see how these solar panels cover an area equivalent to nine football fields. And if you happen to be one of those lucky individuals, do try to ask for the Bentley honey, produced by one million resident bees in 17 hives as a part of the initiative to improve biodiversity and pollination of flora in the Chesshire countryside area.
Lifestyle products is the next domain for Bentley to pursue
Of course, Bentley offers Bentley-branded accessories like other leading car manufacturers. But they also go beyond the norm, most notably with their line of fragrances since 2013 with the help of multiple French perfumers. The majority of Bentley fragrances is masculine, but some are clearly marked as being unisex by nature. Regardless of genders, all of these fragrance products come in a bottle with details nodding to signature design elements of Bentley such as the diamond quilting pattern or the knurling on metallic surfaces. There are even the Crystal editions with the Flying B flacons produced for Bentley by none other but Lalique.
That is not the end of the list, however. Bentley does not wish to be restricted to your garage. It wants to be a part of your living space with Bentley Home furniture products of which many have been released over the years in collaboration with Luxury Living Group from Italy. It also wants to be your living space in the future through Bentley-branded residences. The first of which, Bentley Residences Miami, was announced in 2021 for construction on Miami’s Sunny Isles Beach in partnership with American developer Dezer Development. Completion is expected in 2026.
See also: Rolls-Royce Spectre Officially Unveiled in Thailand