Bugatti Tourbillon ไฮเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นต่อไปที่จะมาแทนที่ Chiron
บทความ: LuxuoTH ภาพ: Bugatti
นับตั้งแต่ที่ Bugatti กลับมาดำเนินกิจการอีกครั้งในปี ค.ศ. 1998 ก็มีรถสองรุ่นที่สร้างชื่อให้กับทางแบรนด์เป็นอย่างมาก นั่นก็คือ Veyron ในปี ค.ศ. 2004 และ Chiron ในปี ค.ศ. 2015 และล่าสุดนี้ Bugatti ก็ได้เผยโฉมยนตรกรรมที่จะนำ Bugatti ไปสู่อนาคตในรูปของ Tourbillon ซึ่งจะผลิตเป็นจำนวนจำกัดเพียงแค่ 250 คันเท่านั้น ด้วยสนนราคาเริ่มต้น 3.8 ล้านยูโรและจะส่งมอบให้กับลูกค้าได้จริงในปี ค.ศ. 2026
ไฮเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ของ Bugatti นี้ไม่ได้ตั้งชื่อตามนักแข่งทีม Bugatti ในอดีตเหมือนรุ่น Veyron และ Chiron แต่ตั้งตามชื่อกลไกในนาฬิกาจักรกลยุคศตวรรษที่ 19 ซึ่งคิดค้นขึ้นโดยช่างนาฬิกาชาวสวิสซึ่งไปประกอบธุรกิจอยู่ที่ปารีสชื่ออับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ นวัตกรรม “ตูร์บิยอง” ซึ่งมีความหมายว่า “พายุหมุน” ในภาษาฝรั่งเศสเป็นวิธีการยกระดับความเที่ยงตรงให้กับนาฬิกาพกในสมัยนั้นด้วยการนำเอาชุดคุมเวลาที่จะได้รับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงโลกไปใส่ไว้ในกรงที่หมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเฉลี่ยค่าความคลาดเคลื่อนและทำให้นาฬิกามีความเที่ยงตรงสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ความล้ำสมัยกว่าใครนี้เองทำให้ Bugatti ตัดสินใจตั้งชื่อรถรุ่นใหม่ล่าสุดว่า Tourbillon บ้าง
อีกสิ่งหนึ่งที่ Tourbillon แตกต่างจาก Veyron และ Chiron ก็คือการที่ Tourbillon ไม่ได้ใช้เครื่องรุ่น W16 ที่เพิ่งจะยุติการผลิตไป เครื่องยนต์ที่ใช้ใน Tourbillon เป็นเครื่องยนต์ที่ดูดอากาศแบบธรรมชาติขนาด 8.3 ลิตรรุ่นใหม่เอี่ยมในรหัส V16 ซึ่งทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวบนเพลาขับหน้าและมอเตอร์ไฟฟ้าอีกหนึ่งตัวบนเพลาขับหลังจนมีพละกำลังรวมกันสูงถึง 1,800 แรงม้า
เอมิลิโอ เซอร์โว ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีของ Bugatti กล่าวว่า “ระบบส่งกำลังนั้นน่าจะเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่เราต้องตัดสินใจ หลังจากที่พิจารณาทุกตัวเลือกที่เรามีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงเครื่อง W16 เดิม การใช้เครื่องยนต์แบบไฟฟ้าล้วน หรือการสร้างระบบส่งกำลังแบบใหม่ขึ้นมาเลย ในที่สุดแล้วเราก็เลือกวิธีที่ยากที่สุด นั่นก็คือการสร้างระบบส่งกำลังขึ้นมาใหม่จากศูนย์และนำไปจับคู่กับระบบอีมอเตอร์ที่ซับซ้อน เกียร์ 8 สปีดแบบดูออลคลัทช์ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้เราพัฒนาขึ้นใหม่หมดเพื่อรถรุ่น Tourbillon โดยเฉพาะ โดยเรามีโจทย์สำคัญในการทำให้รถรุ่นนี้สามารถมอบความรู้สึกแบบดิบๆ ของเครื่องยนต์สันดาปแท้ๆ ที่ไม่มีเทอร์โบ แต่ในขณะเดียวกันก็จะให้มันมีความคล่องตัวและพละกำลังที่มาจากมอเตอร์ไฟฟ้าด้วย”
Bugatti นำประสบการณ์ 20 ปีที่ได้รับจาก Veyron และ Chiron มาพัฒนาให้รถ Tourbillon มีความเหนือชั้นทางด้านอากาศพลศาสตร์และอุณหพลศาสตร์โดยที่ยังเก็บรายละเอียดที่เป็นซิกเนเจอร์ของ Bugatti ไว้ได้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้ารูปเกือกม้าอันเป็นต้นกำเนิดของเส้นหลักที่แผ่ออกไปเป็นลำตัวของรถ หรือเส้น Bugatti Line ที่ตวัดขึ้นไปหาหลังคาเหมือนเดิมแต่ว่าทำมุมคมกว่าเดิมเพื่อให้ดูเหมือนว่ารถกำลังจะพุ่งไปข้างหน้าตลอดเวลาทั้งที่ตัวรถนั้นอาจจะจอดนิ่งอยู่ก็ได้
มาเต รีมาซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Bugatti เสริมว่า “รถสามรุ่นที่เป็นเสาหลักแห่งการออกแบบของเราก็คือ Type 57SC Atlantic ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นรถที่สวยงามที่สุดในโลก Type 35 ซึ่งเป็นรถแข่งที่ประสบความสำเร็จสูงสุด และ Type 41 Royale ซึ่งเป็นรถที่มีความลักชัวรีมากที่สุดรุ่นหนึ่งตลอดกาล ความงาม ประสิทธิภาพและความหรูหราเป็นพื้นฐานในการออกแบบ Tourbillon ให้เป็นรถที่มีความสง่างาม เร้าใจและหรูหรากว่ารถรุ่นใดๆ ที่มาก่อนหน้าอย่างเทียบกันไม่ได้เลยนั่นเอง และ Tourbillon จะต้องเหมือนกับรถระดับไอค่อนที่กล่าวถึงอีกเรื่องตรงที่ Tourbillon นั้นจะต้องไม่เป็นรถที่เกิดมาสำหรับยุคปัจจุบันหรือแม้แต่อนาคตเท่านั้น แต่จะต้องอยู่ได้ตราบชั่วนิรันดร์ไปเลย”
ดังนั้น Bugatti จึงเลือกที่จะใช้มาตรวัดแบบอนาล็อกเหมือนกับนาฬิกาสวิสระดับไฮเอ็นด์ แทนที่จะใช้หน้าตาดิจิตอลขนาดใหญ่เหมือนรถส่วนมากในเวลานี้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้แน่ใจได้ว่าชุดมาตรวัดนี้จะไม่ดูล้าสมัยแม้ในเวลาที่มีการนำรถรุ่นนี้มาวางจัดแสดงในเวลาอีกร้อยปีข้างหน้า อย่างไรก็ดี Tourbillon ก็พร้อมอำนวยความสะดวกในชีวิตการใช้งานจริงด้วยหน้าจอแบบทัชสกรีนที่ซ่อนอยู่ข้างในคอนโซลกลาง และสามารถกางออกมาได้ในเวลาเพียง 2 วินาทีในโหมดแนวตั้งและ 5 วินาทีในโหมดแนวนอน โดยหน้าจอแบบความละเอียดสูงนี้ใช้เพื่อแสดงค่าต่างๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับตัวรถ และแสดงภาพจากกล้องหลังเพื่อการถอยรถอย่างแม่นยำ
ขณะนี้ Bugatti เข้าสู่ช่วงของการทดสอบรถต้นแบบของรุ่น Tourbillon บนถนนจริงแล้ว และเราคาดว่าจะได้เห็นวีดีโอของรถรุ่นนี้เพิ่มเติมอีกในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า
บทความที่เกี่ยวข้อง: Bentley’s New Dynamic Driving Simulator Reduces Carbon Emissions
The Tourbillon is the company’s first core model in 20 years not named after a legendary Bugatti racing driver.
Words: LuxuoTH Photo: Bugatti
Ever since the Bugatti brand was reborn in 1998, it has made its mark in the modern world with the Veyron in 2004 and the Chiron in 2015. A glimpse of the future is revealed this week in the form of the Tourbillon. A total of 250 units will be produced, with a price tag from EUR 3.8 million each, and scheduled delivery in 2026.
Nomenclature is a subject of particular interest here. While the Veyron and the Chiron were named after historical drivers who raced for Bugatti, the Tourbillon breaks from the tradition completely by alluding instead to a gravity-defying horological invention of the 19th century. French for “whirlwind”, the name was originally used by Paris-based Swiss watchmaker Abraham-Louis Breguet to describe his invention where a watch’s escapement was put in a revolving carriage that completed one rotation in a minute, thereby averaging out the deviations at all angles and achieving the best possible chronometry for pocket watches of the time. Today, Bugatti has adopted the name as it is a perfect encapsulation of their latest hyper sports car’s trailblazing spirit.
And unlike the Veyron and the Chiron, the Tourbillon is not powered by the W16 engine which has been recently retired. The all-new, 8.3-liter, naturally aspirated V16 engine is paired with two electric motors on the front axle and one more on the rear axle to deliver a combined horsepower of 1,800.
“The powertrain was perhaps the most important decision that we had to make, considering every option available to us: reengineering the W16, going fully electric or creating something entirely new. Ultimately, we chose the hardest possible option, creating a powertrain from scratch and pairing it seamlessly with a complex system of e-motors, a new generation eight-speed dual-clutch gearbox and more, all developed from the ground up specifically for the Tourbillon. But it was important to us that this car retained that pure and raw analogue feel of a naturally aspirated combustion engine, while pairing it with the agility and ability provided by electric motors,” explains Bugatti CTO Emilio Scervo.
Bugatti has put 20 years of experience from the Veyron and the Chiron into the aerodynamic and thermodynamic developments of the Tourbillon, all while keeping signature design elements. The horseshoe grille serves as a point of origin for all lines to radiate, forming the central fuselage volume. The Bugatti Line shows a sharper curve as it traces towards the lowered roofline, giving the side profile a leaping motion. Overall, the Bugatti Tourbillon seems as if it is in motion even when it is at a standstill.
Bugatti CEO Mate Rimac adds, “Icons like the Type 57SC Atlantic, renowned as the most beautiful car in the world, the Type 35, the most successful racing car ever, and the Type 41 Royale, one of the most ambitious luxury cars of all time, provide our three pillars of inspiration. Beauty, performance and luxury formed the blueprint for the Tourbillon; a car that was more elegant, more emotive and more luxurious than anything before it. Quite simply, incomparable. And just like those icons of the past, it wouldn’t be simply for the present, or even for the future, but ‘pour l’éternité’, for eternity.”
In this sense, Bugatti has dropped large digital screens in favor of a completely analog instrument cluster that resembles the works in high-end Swiss watches. This ensures that the instruments will never age when the car is put on display even a century from now. But the Tourbillon is not without practical convenience. A touchscreen is hidden in the central console and can be deployed when its use is required in two to five seconds, for portrait and landscape modes, respectively. This high-definition digital display offers vital information concerning the vehicle, and connects with the reversing camera for safety and practical convenience.
Currently, the Bugatti Tourbillon has entered the testing phase with prototypes out on the road already. We should expect to see real world videos in the coming months.
See also: Bentley’s New Dynamic Driving Simulator Reduces Carbon Emissions