รีวิวการใช้งาน 3 แอปพลิเคชั่นที่ลงตัวสำหรับการทำสมาธิในยุคสมัยปัจจุบันที่ชีวิตมีแต่ความเร่งรีบ
บทความ: พีรชัย พสุทันท์ ภาพเปิด: Shutterstock
ปัจจุบันนี้มีวิธีการหลากหลายที่ช่วยให้เรายังคงสุขภาพจิตที่แข็งแรงไปพร้อมกับมีสมาธิจดจ่อมากขึ้น แน่นอนว่าการพบกับจิตแพทย์หรือการไปสถานที่ปฏิบัติธรรมย่อมเป็นความคิดที่ดี แต่การใช้แอปพลิเคชันก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่สิ้นสุด ถ้าหากยังลังเลว่าจะเริ่มจากแอปพลิเคชั่นทำสมาธิใดก่อนดี เราก็มี 3 แอปพลิเคชันตั้งต้นมาแนะนำให้เป็นทางเลือกกันครับ
แอปพลิเคชันแรกคือ Calm ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 และปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดกว่า 50 ล้านครั้ง แอปพลิเคชันมีอยู่ 4 โหมดหลัก ได้แก่ For You ซึ่งแนะนำเนื้อหาตามความชอบของเรา Sleep ที่ประกอบด้วยเรื่องเล่าก่อนนอนความยาว 20-90 นาที Meditate อันมีบททำสมาธิเกี่ยวกับประเด็นทั่วไป เช่น การพัฒนาอารมณ์ การดูแลความสัมพันธ์ และการฝึกฝนสุขภาพจิต และสุดท้าย Music ที่มีทั้งดนตรีบรรเลงและซาวด์เอฟเฟคเสียงธรรมชาติ
จุดเด่นที่สัมผัสได้จากแอปนี้ในสัปดาห์แรกของการใช้งาน ประการแรกคือ คอนเทนท์หลายส่วนซึ่งได้บุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น แมทธิว แมคคอนนาเฮย์ เลอบรอน เจมส์ และ แซม สมิธ มาเป็นคอนทริบิวเตอร์ จึงเกิดความคุ้นเคยกับคอนเทนท์ในแอปพลิเคชันได้ไม่ยาก ประการถัดมาคือ เนื้อหาที่ใส่ใจต่อผู้ใช้งานทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะบททำสมาธิสำหรับเด็กที่ได้ Thomas & Friends มาเป็นตัวแทนของผู้ฝึกทำสมาธิ ซึ่งฟังง่ายสำหรับเด็กหรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่เพิ่งเริ่มฝึกสมาธิเองก็ตาม อีกทั้งในแอปยังมีโหมดย่อยอื่นๆ ทำให้แอปมีความครบสมบูรณ์แบบ อาทิ โหมดฝึกกำหนดลมหายใจ โหมดบันทึกประจำวัน และ The Spark ซึ่งรวมพอดแคสต์สร้างแรงบันดาลใจ ราคาสมาชิกต่อปีของ Calm นั้นอยู่ที่ 1,625 บาท
แอปพลิเคชันต่อมาเป็น Ten Percent Happier ซึ่งเปิดบริการตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 และต่อยอดมาจาก 10% Happier หนังสือขายดีติดอันดับ The New York Times โดยนักข่าวชาวอเมริกัน แดน ฮาร์ริส สำหรับโหมดการใช้งานหลักแบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ Courses ซึ่งประกอบด้วยบทเรียนต่างๆ ในการฝึกทำสมาธิ Singles ที่รวบรวมบททำสมาธิจบในตอน Sleep หรือบททำสมาธิเพื่อการนอนโดยเฉพาะ และ Talks ที่รวมข้อคิดสะท้อนประเด็นสังคมแบบสั้นๆ ให้คุณฟังเพลินๆ
จากระยะเวลาการใช้งานหนึ่งสัปดาห์ จุดเด่นของแอปพลิเคชันนี้ จุดแรกคือเนื้อหาต่างๆ ได้ผู้เชี่ยวชาญมานำการทำสมาธิของเรา เช่น โจเซฟ โกลด์สตีน ครูสายวิปัสนาคนแรกๆ ของอเมริกา ต่อมาคือ ผู้ใช้งานสามารถเลือกความยาวบททำสมาธิในโหมด Singles และ Sleep ได้ ช่วยให้เราไต่ระดับการทำสมาธิจากระยะเวลาสั้นๆ แล้วค่อยๆ นานขึ้นไป ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ แต่ละบทเรียนในโหมด Courses จะแยกเป็นวีดิโอสอนสั้นๆ และการฝึกทำสมาธิอย่างชัดเจน คล้ายกับมีอาจารย์สอนหนังสือให้ฟังก่อนให้ผู้เรียนลองทำแบบฝึกหัดเอง ทำให้การฝึกสมาธิมีประสิทธิภาพมากขึ้น ราคาสมาชิกรายปีของ Ten Percent Happier อยู่ที่ 3,125 บาทต่อปี
แอปพลิเคชันสุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือ Headspace ซึ่งก่อตั้งเมื่อ 11 ปีที่แล้วโดย แอนดี พุดดีคอมบ์ นักเขียนชาวอังกฤษซึ่งเคยบวชเป็นเวลากว่า 10 พรรษา แอปพลิเคชันแบ่งโหมดใช้งานออกเป็นสี่ส่วน ได้แก่ Today ที่แนะนำคอนเทนท์ประจำวัน Meditate อันประกอบด้วยบททำสมาธิเดี่ยวและการทำสมาธิแบบกลุ่ม Sleep ซึ่งประกอบด้วยเรื่องเล่า เพลงบรรเลง และเสียงเอฟเฟคที่ช่วยในการหลับ Move หรือบทเรียนกายบริหาร และ Focus ที่มีคอนเทนท์ช่วยพัฒนาและผ่อนคลายการจับโฟกัสของเรา เช่น วีดิโอธรรมชาติจาก BBC Earth
เมื่อใช้งานไปหนึ่งสัปดาห์ สิ่งที่น่าสนใจจากแอปนี้ อย่างแรกคือแอนิเมชันประกอบและสีสันสดใส ทำให้การฝึกสมาธิเพลิดเพลินยิ่งขึ้น ข้อที่สองคือ เนื้อหาหลายส่วนในโหมด Sleep นั้น ผู้ใช้งานสามารถปรับได้ว่าจะฟังเสียงผู้บรรยายหรือเสียงซาวด์เอฟเฟคมากกว่ากัน และไฮไลท์อยู่ที่โหมด Move ซึ่งได้นักกีฬาระดับโอลิมปิกและ NBA เช่น นักวอลเลย์บอลทีมชาติสหรัฐฯ คิม กลาส มาเป็นผู้นำการออกกำลังกาย บทเรียนในโหมดนี้จึงมีความเข้มข้นและกระตุ้นผู้ใช้งานอย่างมาก ราคาสมาชิกของ Headspace อยู่ที่ 450 บาทต่อเดือน
บทความที่เกี่ยวข้อง: Voyager Station: The World’s First Space Hotel, Coming to You in 2027
Let peace back into your hectic schedule with one of these three meditation apps we tried on your behalf.
Words: Peerachai Pasutan Opening Photo: Shutterstock
In our days, there are many ways that help us maintain a good mental health and have a better focus. Consulting a psychologist or meditating at a vipassana center are always a good idea. Yet, using a mediation application is another great choice, especially during the ongoing pandemic situation. If you are not sure about the app to choose, here is a review of three famous apps for those who want to embark on this journey of meditation.
The first app is called Calm, which has been operating since 2012 and has now 50 million downloaders. Calm has four principle modes: For You (recommending contents based on user’s preference), Sleep (consisting of 20 to 90 minutes bedtime stories), Meditate (collection of meditation tracks and practices) and Music (soundtracks and nature sound effects).
From the first week of using, I was able to notice a number of advantages. Firstly, many celebrities such as Matthew McConaughey, LeBron James and Sam Smith are contributors of several contents, so that helped me become familiar with Calm more readily. Next, contents are thoroughly created for users of all age groups. For example, Thomas & Friends are there in the kids’ lessons to help children (or even beginning adults) meditate. Additionally, modes like Check-Ins (where users can do personal journals), Breathing Exercise and The Spark (collection of inspiring podcasts) give the app added variety and roundedness. Annual subscription rate of Calm is 1,625 baht.
The second app is Ten Percent Happier. Launched in 2015, the application is a successor of The New York Times-bestseller, 10% Happier, by American journalist Dan Harris. The app is divided into four main modes: Courses (meditation lessons), Singles (independent meditation tracks), Sleep and Talks (reflections on ongoing social subjects and no meditation required).
After one week of using, I have noticed distinct attributes of Ten Percent. The first thing is that lessons are carefully led by celebrity experts, such as Joseph Goldstein, one of the first American vipassana teachers. Later, users can choose the length of each course in Singles and Sleep modes, allowing the users to meditate and advance in incremental steps. The last advantage is that every lesson in Courses mode is separated into two parts where the first part is a short teaching video and the second one is a timed practice session. This gives users to chance to learn about the lesson first, and engage in the actual meditation in a more effective, well-guided manner. The subscription fee is 3,125 baht per year.
The last meditation app reviewed is Headspace. Founded in 2010 by Andy Puddicombe, the British author who ordained as a monk for over a decade. The application is divided into four principal modes: Today (recommending contents of the day), Sleep, Move (exercise courses) and Focus (contents to improve focus such as BBC Earth’s nature videos).
I have found interesting things after a week with the app. The most prominent characteristic of Headspace is its animations and colorful interface which give meditation an enjoyable face. Next, most of the content in Sleep mode can be adjusted in accordance with the users preference towards narration or sound effects. The highlight for this app is the Move mode where users can learn intensive, yet safe and easy-to-follow, exercise lessons led by Olympics and NBA athletes, like U.S. national volleyball team member Kim Glass. The subscription rate for Headspace is 450 baht per month.