สามหอนาฬิกาที่น่าทึ่งของทวีปยุโรปซึ่งยังคงทำหน้าที่ได้อย่างไม่บกพร่องจนถึงทุกวันนี้
บทความ: ลภีพันธ์ โชติจินดา ภาพ: Shutterstock
จากประสบการณ์ที่ได้เห็นช่างประดิษฐ์นาฬิกาทำงานกับเครื่องกลไกขนาดเล็กก็รู้สึกลึกซึ้งถึงความยากในการประกอบ ออกแบบ เพื่อให้กลไกเล็กๆ เหล่านี้ทำงานได้อย่างเที่ยงตรง แต่ใช่ว่าการประดิษฐ์กลไกนาฬิกาขนาดใหญ่อย่างหอนาฬิกาจะง่ายกว่า เพราะผู้คิดค้นในสมัยนั้นต้องคำนวณทุกรายละเอียดของกลไกโดยที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีช่วยอย่างในสมัยปัจจุบัน
หอนาฬิกาเป็นนาฬิกาจักรกลที่มีแพร่หลายตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 14 เราจะพบเห็นหอนาฬิกาส่วนมากเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีขนาดใหญ่ อยู่กลางชุมชน สูงตระหง่าน เพื่อที่จะให้ผู้คนที่อยู่ในชุมชนนั้นๆ สามารถมองเห็นและได้ยินเสียงระฆังหรือเสียงดนตรีบอกเวลา โดยมากจะเป็นสถานที่สำคัญในการรวมตัวกันอย่างเช่นโบสถ์ จัตุรัสกลางเมือง หรือสถานที่ราชการอย่างที่ว่าการเมืองนั้นๆ เป็นต้น รูปแบบนั้นมีตั้งแต่เป็นระฆังตีบอกเวลา บางแห่งจะมีทั้งระฆังและหน้าปัดนาฬิกานอกตัวอาคาร มีปฏิทินแสดงวัน เดือน ปี และซับซ้อนไปจนถึงแผนผังดาราศาสตร์แสดงตำแหน่งดวงดาวต่างๆ ด้วย เพราะในอดีตความสำคัญของหอนาฬิกาไม่เพียงแค่บอกเวลาเท่านั้น แต่ยังมีนัยที่เกี่ยวพันกับเรื่องศาสนาและเกษตรกรรมด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าหอนาฬิกาสำคัญๆ นั้นมีอยู่ทุกทวีป แต่ด้วยความที่งานนิตยสารของเราใกล้ชิดกับสวิตเซอร์แลนด์ที่สุด จึงขอเริ่มต้นที่ยุโรปและที่ประเทศนี้เป็นการเฉพาะเจาะจงก่อน Zytglogge เป็นหอนาฬิกาที่ตั้งอยู่ ณ เมืองเบิร์น เมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งสถาปัตยกรรมและการวางผังเมืองที่โดดเด่นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1405 หลังจากที่เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ และเบิร์นยังเป็นเมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ด้วยแต่คนมักเข้าใจผิดว่าซูริคหรือเจนีวาเป็นเมืองหลวง
Zytglogge (ซึทกลอกเกอ) ตั้งอยู่ในอยู่ใจกลางเขตเมืองเก่าซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO จุดที่ตั้งของหอนาฬิกานี้เคยเป็นป้อมปราการมาก่อน หอนาฬิกาแห่งนี้มีหน้าปัดอยู่ด้วยกันสองฝั่งคือทางฝั่งตะวันตกซึ่งหันไปทางสถานีรถไฟและทางฝั่งตะวันออกซึ่งหันไปทางแม่น้ำ ใต้หน้าปัดแสดงเวลาของฝั่งตะวันออกนี้ยังมีหน้าปัดนาฬิกาดาราศาสตร์อันประกอบไปด้วย หลักตัวเลขโรมัน 24 ชั่วโมง มูนเฟส หน้าต่างแสดงวัน เข็มแสดงกลางวันกลางคืน ปฏิทินจูเลียน ปฏิทินจักรราศี ซึ่งเป็นกลไกคอมพลิเคชั่นส่วนเพิ่มเติมในช่วงที่มีการซ่อมแซมนานถึงสามปีเมื่อปี ค.ศ. 1527
ไม่เพียงเท่านั้น หอนาฬิกา Zytglogge ยังมีออโตเมตอนหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไก่ทองคำที่ทำหน้าที่ขันเรียกให้นักท่องเที่ยวมารวมตัวกัน จากนั้นจึงเป็นการแสดงของขบวนพาเรดหมี (สัตว์สัญลักษณ์ประจำเมือง) ตัวตลกตีกระดิ่ง เทพเจ้าโครโนสแห่งกาลเวลาที่หมุนนาฬิกาทรายได้ จากนั้นหุ่นสีทองบนยอดหอนาฬิกาจึงทำหน้าที่ตีระฆังเสียงก้องกังวานเพื่อบอกเวลาว่ากี่โมงแล้ว ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ากลไกทั้งหมดนี้ทำหน้าที่บอกเวลาให้กับชาวเมืองเบิร์นอย่างเที่ยงตรงมาเป็นเวลามากกว่า 500 ปีแล้ว หอนาฬิกาแห่งนี้มีทัวร์ให้ผู้สนใจเดินเข้าไปชมกลไกและการทำงานภายในอย่างใกล้ชิดได้ด้วย
Orloj (โอลอย) หรือ Prague Astronomical Clock คือ หอนาฬิกาอายุมากกว่า 600 ปีในเมืองปราก สาธารณรัฐเช็ก หอนาฬิกาแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1410 ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของอาคารศาลาว่าการเมืองเก่า หน้าปัดหลักมีอยู่สองส่วน คือ ส่วนของนาฬิกาดาราศาสตร์ซึ่งสร้างโดยช่างนาฬิกาหลวง มิคูลาส ออฟ คาดาน ที่ไม่เพียงแสดงเวลา 24 ชั่วโมงของยุคปัจจุบันและยุคโบฮีเมียนโบราณเท่านั้น หากยังแสดงความยาวของช่วงกลางวันและกลางคืนที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลต่างๆ แล้วยังแสดงตำแหน่งของพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวเหนือในช่วงเวลานั้นๆ ได้อีกด้วย
ต่อมาในปี ค.ศ. 1490 ฮานูส คาโรลินุม ทำการปรับปรุงและสร้างหน้าปัดปฏิทินเป็นส่วนที่ 2 ที่แสดงถึงวันสำคัญๆ ทางศาสนาซึ่งหน้าปัดปฏิทินนี้จะขยับวันละครั้งหลังเที่ยงคืนของแต่ละวัน และยังติดตั้งออโตเมตอนโครงกระดูกให้กับหอนาฬิกาแห่งนี้อีกด้วย แล้วในภายหลังจึงมีการเพิ่มเติมออโตเมตอนหุ่นไม้เข้าไปอีกสามตัว รวมเป็นทั้งหมดสี่ตัว ทางด้านซ้ายและขวาของหน้าปัดนาฬิกาดาราศาสตร์
หุ่นออโตเมตอนทั้งสี่นี้จะทำงานในทุกชั่วโมงของทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึง 21.00 น. โดยหุ่นโครงกระดูกจะสั่นกระดิ่งขณะที่หุ่นสามตัวที่เหลือจะขยับหัว อัครสาวกทั้ง 12 คนของพระเยซูจะหมุนเวียนกันมาปรากฏตัวอยู่ที่สองหน้าต่างเหนือหน้าปัดนาฬิกา ปิดท้ายโชว์ด้วยเสียงไก่ขันและการตีระฆังบอกเวลาเป็นจำนวนชั่วโมง Orloj เป็นหนึ่งในหอนาฬิกาดาราศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังคงทำงานมาจนถึงทุกวันนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีผู้คนมายืนรอชมความอัศจรรย์อันเป็นมรดกอันทรงคุณค่านี้อยู่เสมอ
Big Ben นับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงลอนดอนและของประเทศอังกฤษ แต่ที่จริงแล้ว Big Ben ไม่ได้เป็นชื่อของหอนาฬิกาที่เราเห็น หากแต่เป็นชื่อเล่นของระฆัง Great Bell ที่ติดตั้งอยู่ในหอนาฬิกาทางด้านทิศเหนือของพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ มีข้อสันนิษฐานถึงที่มาของชื่อบิ๊กเบนอยู่สองทฤษฎี คือ มาจากชื่อของ เซอร์ เบนจามิน ฮอลล์ ข้าหลวงฝ่ายโยธาธิการที่ดูแลการติดตั้งระฆังดังกล่าว หรืออาจมาจากชื่อของ เบนจามิน คอนท์ แชมป์นักมวยรุ่นเฮฟวี่เวทในยุคศตวรรษที่ 19
หอนาฬิกาแห่งนี้มีระฆัง Big Ben เป็นระฆังหลักที่ให้เสียงโน้ตอี ตีบอกจำนวนชั่วโมง และรายล้อมสี่ด้านด้วยระฆังบริวารที่ให้เสียงโน้ตอื่นๆ ได้แก่ จีชาร์ป เอฟชาร์ป อีและบี ซึ่งจะตีต่อกันเป็นท่วงทำนองเวสต์มินสเตอร์อันโด่งดังทุก 15 นาที หอนาฬิกาสไตล์นีโอโกธิค นี้มีความสูง 96 เมตร หน้าปัดนาฬิกาทั้งสี่ด้านมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ทึ่ 7 เมตร เข็มชั่วโมงและเข็มนาทีมีขนาด 2.8 เมตรและ 4.3 เมตรตามลำดับ ในแต่ละด้านของหน้าปัดนาฬิกาตกแต่งด้วยกระจกจำนวน 312 ชิ้นอย่างวิจิตร
การก่อสร้างอยู่ในเวลาใกล้เคียงกับที่มีการก่อสร้างพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ราวปี ค.ศ. 1844 และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1859 แต่กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ก็มีอุปสรรคมากมายระหว่างก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือตัวระฆัง Big Ben หรือ Great Bell ใบแรกที่สูง 1.2 เมตรนั้นเกิดมีรอยร้าวเกิดขึ้นระหว่างการทดลองตี ต่อมาโรงหล่อไวท์แชปเปลเบลล์ฟาวน์ดรีรับหน้าที่ผลิตระฆังใบใหม่ที่หนักถึง 13 ตันได้สำเร็จ Big Ben ทำหน้าที่ตีบอกเวลาครั้งแรกในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1859 และใช้งานเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันหอนาฬิกาแห่งนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Elizabeth Tower เพื่อถวายพระเกียรติแด่สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ในวโรกาสครองราชย์ครบ 60 ปี เมื่อปี ค.ศ. 2012 แต่คนทั่วไปก็ยังเรียกที่นี่ว่า Big Ben อยู่ดี
นี่เป็นเพียงแค่สามหอนาฬิกาที่มีความสำคัญและเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป เชื่อว่าหากคุณได้อ่านมาถึงตรงนี้ เมื่อคุณได้พบเห็นหอนาฬิกาตามที่ต่างๆ คุณก็จะพินิจพิจารณารายละเอียดของหอนาฬิกาเหล่านั้นมากยิ่งขึ้นเป็นแน่
บทความที่เกี่ยวข้อง: Eiger Express Brings You to Jungfraujoch in Shorter Time
Let us transport you virtually to three of Europe’s historic but functional clock towers.
Words: Lapheepun Chotjinda Photo: Shutterstock
We have experienced first-hand the difficulty with which watchmakers work on small movement parts that need to function flawlessly. As much as we are impressed by their skills, we would like to pay tribute to the clockmakers of medieval times whose designs and calculations realised amazing historic clocks without the help of modern-day technology.
Towers with a mechanical clock became commonplace from the 14th century onwards. These were usually tall structures in the middle of a populous area so members of that community could see the time or hear the chimes or the music of the bells that conveyed the passage of the hours. As such, clock towers were found at churches, squares and townhalls as they served as places of gathering. Towers ranged from those with only a bell to ring the time and a combination of a bell and an outward facing dial, to those with additional indications such as the date, month and year, as well as astronomical and planetary charts. Clearly, the significance of clock towers goes beyond the simple act of telling the time but also to mark the paces on religious and agricultural calendars.
Clock towers can be found on all continents of the world today. However, with our work being most closely linked to Switzerland, we dedicate this article to the tower clocks of Europe, beginning with the Zytglogge in Bern, the capital of Switzerland (not Geneva or Zurich as mistaken by a lot of people).
Bern is a small city with charming architecture and interesting urban planning. The current form of the city dates back to 1405 after a great fire that necessitated a massive rebuilding. The Zytglogge is located in the old town part of Bern, which has been designated as a world heritage site by UNESCO.
The exact location of this clock tower was previously a fort. It shows time-telling dials on the west (train station facing side) and the east (river facing side) of the tower. On the east, beneath the time-telling dial, an additional dial serves as the astronomical clock with 24 Roman hour numerals, the moon phase, the day window, the day/night indicator, the Julian calendar and the zodiac calendar. This whole section is an additional component built together with a renovation that lasted three years from 1527.
Automatons are another key attraction of the Zytglogge. This clock tower contains several integrated automatons. At the beginning of the show, a golden rooster will crow to draw the attention of the tourists. The subsequent line-up includes a parade of bears (the city’s animal symbol), the ringing of the bells by the jester, and the flipping of the hourglass by Chronos, the God of Time. Lastly, the golden figure at the top of the tower will strike the bell to the number of hours to signify the time. This amazing clock has been dutifully serving the residents of Bern for more than 500 years. Tourists who are especially interested in how the mechanisms work can take the guided tour as well.
Orloj or the Prague Astronomical Clock in the Czech Republic is older at 610 years. Found on the south side of the old townhall, the Orloj comprises two main dials. The astronomical clock, created by royal clockmaker Mikuláš of Kadaň, shows the 24 hours according to the contemporary and Bohemian systems, the length of daytime and night time that changes with the seasons, and the locations of the sun, moon and north star at that time.
Later in 1490, Hanus Carolinum carried out improvement work and built the second dial to show a calendar of important religious feasts that advances once a day after midnight. At this same time, an automaton of a skeleton was added to the clock tower. Three other wooden automatons followed, bringing the number of automatons on both sides of the astronomical clock to four.
At every top of the hour from 09:00 to 21:00, the skeleton will ring a small bell and the other three automatons will move their heads slightly. Simultaneously, the 12 disciples of Jesus will take turns appearing through the two windows at the top. The show ends with a crow from the golden rooster and the ringing of the bell to mark the number of the hours. As the oldest functioning astronomical clock tower in the world, Orloj draws an endless stream of tourists who are eager to watch the performance of this important cultural legacy.
Lastly, we have Big Ben – a prominent symbol of London, or the United Kingdom even. The truth is that the landmark clock tower’s official title is not Big Ben, which actually refers to the Great Bell installed in the tower, located to the north of Westminster Palace. Two theories exist for the origin of the Big Ben reference: one is Sir Benjamin Hall, the First Commissioner of Works who oversaw the installation of the bell; or it could have referred to Benjamin Caunt, a heavyweight boxer of the 19th century.
Regardless of the myth, the Big Ben bell represents the main bell sounding the E note as it chimes the hours. It is surrounded by four smaller bells that give G-Sharp, F-Sharp, E and B notes; in combination, they comprise the famous Westminster Chime every quarter of the hour. This neogothic clock tower stands 96 metres tall. The four dials measure seven metres in diameter, with the hour and minute hands measuring 2.8 and 4.3 metres, respectively. Each dial is intricately decorated with 312 pieces of stained glass.
The tower was built around the same time as the construction of Westminster Palace from 1844 to 1859. There were several setbacks along the way – the most notable of which was the cracking of the first 1.2-metre-tall Big Ben or Great Bell during a test. Subsequently, the Whitechapel Bell Foundry took up the job of producing a replacement bell that weighs 13 tons. Big Ben first performed its function on 11 July 1859, and it continues to work today. The physical tower was renamed Elizabeth Tower in honour of Queen Elizabeth II on the occasion of her Diamond Jubilee in 2012. Still, to the general public, Big Ben remains the name by which the beloved London landmark is known.
We feature merely three of the world’s prominent clock towers. Having read the anecdotes above, we are sure you will pay even more attention to the details of the next clock tower you see.
See also: Eiger Express Brings You to Jungfraujoch in Shorter Time