Patagonia 101: What to Expect and How to Prepare 

Share this article

ครั้งหนึ่งในชีวิตกับการพิชิต ปาตาโกเนีย ดินแดนสุดขอบโลก
บทความและภาพ: พนิดา สมบูรณ์

ปาตาโกเนีย ดินแดนใต้สุดขอบโลกของอเมริกาใต้ หนึ่งในบัคเก็ตลิสต์ของนักเดินทางหลายๆ คน และแน่นอนว่าเป็นสถานที่ในฝันของเราเช่นกัน ปาตาโกเนียมีอาณาเขตครอบคลุมทั้งประเทศอาร์เจนตินาและชิลี ซึ่งในทริปนี้เราจะพาไปปาตาโกเนียทั้งเส้นทางภูเขาฟิตซ์ รอย (Mt. Fitz Roy) ฝั่งอาร์เจนตินา และเส้นทางมิราดอร์ เบส ลาส ตอร์เรส (Mirador Base Las Torres) ฝั่งชิลี

ก่อนจะไปถึงปาตาโกเนีย เราต้องฝ่าด่านการเดินทางอันแสนยาวนาน ทริปนี้เราใช้เวลาเดินทางจากไทยไปยังอาร์เจนตินาประมาณ 29 ชั่วโมง โดยต่อเครื่องที่ดูไบ 3 ชั่วโมง จากนั้นเดินทางต่อไปยัง บูเอโนส ไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา

หลังจากเดินทางถึง บูเอโนส ไอเรส แล้ว เรายังต้องเดินทางโดยการบินภายในประเทศต่อเพื่อไปยังเมืองเอล คาลาฟาเต้ (El Calafate) เราพักกันที่ เอล คาลาฟาเต้ หนึ่งคืน เพื่อรอเดินทางไปยังเมืองเอล ชาร์เท่น (El Chalten) เมืองที่เป็นเหมือนเมืองหลวงของการเทรคกิ้งของอาร์เจนตินานั่นเอง

การเดินทางไปยังเมืองเอล ชาร์เท่น เราสามารถเดินทางด้วยรถบัสใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง มีรถบัสหลายบริษัทให้บริการ แต่ถ้าใครอยากดื่มด่ำกับบรรยากาศวิวสวยๆ ระหว่างทาง ไม่ต้องคอยกังวลกับเวลาของรถบัส สามารถเลือกเช่ารถขับไปเองได้เช่นกัน เส้นทางขับไม่ยาก หลังจากไปถึงเมืองเอล ชาร์เท่น เราเดินเล่นรอบๆ เมือง และหารูทเดินเที่ยวสั้นๆ กลับมาพักผ่อนเอาแรงเพื่อไปพิชิตภูเขาฟิตซ์ รอยในวันต่อไป

การเตรียมตัวสำหรับการเทรคกิ้งที่ภูเขาฟิตซ์ รอย เราเลือกเดินแบบวันเดย์ไฮกิ้ง ระยะทางประมาณ 20 กม. ใช้เวลาเดินประมาณ 8-9 ชั่วโมง สิ่งที่ต้องเตรียมคือ เตรียมอาหารและเครื่องดื่มไปให้เพียงพอ เพราะระหว่างทางไม่มีร้านค้าใดๆ ทั้งนั้น ส่วนน้ำดื่มอาจจะไม่ต้องพกไปเยอะมาก เพราะสามารถกรอกน้ำจากลำธารดื่มได้ แต่เราก็พกขวดน้ำแบบมีไส้กรองไปด้วยเพื่อความปลอดภัย และที่สำคัญอย่าลืมเทรกกิ้งโพลเด็ดขาด เอาไว้ช่วยตอนเหนื่อยๆ ได้ดีเลยทีเดียว

เราเริ่มเดินตั้งแต่ 7 โมงเช้า เส้นทางเดินในช่วงแรกสามารถเดินได้เรื่อยๆ ไม่เหนื่อยมาก มีทั้งเดินกลางแจ้ง และเดินในป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ความท้าทายนั้นอยู่ที่ช่วงท้ายกิโลเมตรสุดท้าย เพราะเป็นทางเดินขึ้นเขาที่ชันมาก ทางเดินขรุขระ เป็นหินก้อนใหญ่ๆ ทำให้เดินลำบาก และต้องเดินกลางแจ้งตลอดทาง เราไปเที่ยวช่วงหน้าร้อนของอาร์เจนตินา ทำให้ต้องเดินกลางแดดจ้า เล่นเอาหมดแรงเลยทีเดียว ดังนั้นอย่าลืมหมวก แว่นตากันแดด และครีมกันแดด เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย

เราใช้เวลาทั้งหมด 4 ชั่วโมงพอดิบพอดี ในการเดินถึงจุดชมวิวด้านบน เมื่อเดินผ่านเนินสุดท้ายไป วิวของภูเขาฟิตซ์ รอยก็อยู่ตรงหน้าของเราแล้ว เป็นวินาทีที่ปลื้มปริ่มมาก นอกจากความสวยงามของวิวที่สุดอลังการของภูเขาฟิตซ์ รอยแล้ว เรารู้สึกดีใจมากที่ทำอีกหนึ่งความฝันของตัวเองได้สำเร็จ

หลังจากเดินเล่นถ่ายรูป ชมวิวรอบๆ ทะเลสาบแล้ว เรานั่งพักกินอาหารกลางวันที่เตรียมมาพร้อมกับดื่มดำบรรยากาศอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะเดินกลับลงมาด้านล่าง เดินกลับมาถึงตรงจุดเริ่มต้นประมาณ 5 โมงเย็นนิดๆ

วันรุ่งขึ้นเราต้องบอกลาเมืองเอล ชาร์เท่น และนั่งรถบัสกลับไปที่เมืองเอล คาลาฟาเต้อีกครั้ง เราพักที่เมืองเอล คาลาฟาเต้ หนึ่งคืน และวันรุ่งขึ้นเราจะเดินทางข้ามไปยังประเทศชิลีกัน

การเดินทางระหว่างเมืองเอล คาลาฟาเต้ ประเทศอาร์เจนตินา ไปยังเมืองเปอร์โต นาตาเลส (Puerto Natales) ประเทศชิลี สามารถนั่งรถบัส ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง หรือจะเช่ารถขับไปเองก็ได้ แต่ต้องแจ้งบริษัทเช่ารถล่วงหน้า เพื่อทำเอกสารในการขับรถข้ามประเทศด้วย

ระหว่างที่นั่งรถข้ามผ่านแดน เราต้องผ่าน ตม. สองครั้ง ครั้งแรกตอนออกจากประเทศอาร์เจนตินา และครั้งที่สอง ตอนเข้าเขตประเทศชิลี ขั้นตอนนี้ใช้เวลานานพอสมควร หลังจากนั้นนั่งรถต่อไปอีกไม่นานจะถึงตัวสถานีรสบัสของเมืองเปอร์โต นาตาเลส

หลังจากลงรถบัสเรียบร้อย เราไปรับรถเช่าที่จองไว้ เพื่อขับไปยังอุทยานตอร์เรส เดล ปายเน่ (Torres del Paine Park) ใช้เวลาขับรถประมาณชั่วโมงครึ่ง เราก็ถึงที่พักใกล้ๆ ทางเข้าอุทยาน เราจะพักอยู่ที่เมืองนี้ 3 วันเต็ม

การเที่ยวในอุทยานตอร์เรส เดล ปายเน่ การเช่ารถขับเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เพราะพื้นที่อุทยานกว้างและมีจุดให้เที่ยวหลายจุด มีการล่องเรือไปดูธารน้ำแข็ง และหนึ่งในไฮไลท์ของการมาที่อุทยานแห่งนี้ก็คือการพิชิตมิราดอร์ เบส ลาส ตอร์เรสนั่นเอง

จากพยากรณ์อากาศแล้ว 2 วันแรกสภาพอากาศไม่ค่อยดี มีเมฆค่อนข้างเยอะ เราเลยเลือกที่จะไปเดินเส้นทางอื่นก่อน และไปล่องเรือดูธารน้ำแข็ง ส่วนวันสุดท้ายเป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งที่สุด เราเลยเลือกเดินเส้นทางมิราดอร์ เบส ลาส ตอร์เรสกันวันสุดท้าย

เส้นทางเดินเขามิราดอร์ เบส ลาส ตอร์เรสแบบวันเดียว ระยะทางไปกลับ 18 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 7-8 ชั่วโมง เส้นทางในการเดินค่อนข้างง่ายกว่าเส้นทางของภูเขาฟิตซ์ รอย แต่ยังต้องเตรียมน้ำและอาหารไปให้พร้อมเหมือนเดิม แต่ว่าที่มิราดอร์ เบส ลาส ตอร์เรสนั้นระหว่างทางจะมีจุดแคมป์หนึ่งจุดที่มีอาหารและเครื่องดื่มขายด้วย

ในช่วงแรกทางเดินเป็นทางเดินขึ้นเนินเขาไปเรื่อยๆ จนถึงวินดี้ พาส (Windy Pass) วิวระหว่างทางสวยมาก เดินเพลิน และความยากยังคงอยู่ช่วงท้ายของเส้นทาง เพราะทางเดินค่อนข้างชันมาก เราใช้เวลาเดินไปกลับทั้งหมดประมาณ 7 ชั่วโมง

จุดชมวิวที่มิราดอร์ เบส ลาส ตอร์เรสเป็นจุดที่ต้องลุ้นตลอดว่าเมฆจะบังยอดเขาหรือเปล่า เพราะอากาศเปลี่ยนตลอดที่เราเดินขึ้นไป โชคดีที่เราได้เห็นวิวยอดเขาทั้งหมด ถึงแม้ท้องฟ้าจะอึมครึมหน่อยก็ตาม ส่วนตัววิวที่มิราดอร์ เบส ลาส ตอร์เรสอาจจะไม่สวยอลังการเท่าภูเขาฟิตซ์ รอยแต่ก็คุ้มค่ากับการเดินแน่นอน

ถ้าใครมีเวลาจำกัดสามารถเลือกได้ที่เดียว เราแนะนำให้เลือกเส้นทางภูเขาฟิตซ์ รอย ฝั่งอาร์เจนตินามากกว่า แต่อยากให้เผื่อเวลาอย่างน้อยสักหนึ่งวันมาเที่ยวอุทยานตอร์เรส เดล ปายเน่ เพราะหลายๆ จุดในอุทยานวิวสวยอลังการมาก

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจพิชิตมิราดอร์ เบส ลาส ตอร์เรส ช่วงเย็นเราก็ขับรถกลับไปที่เมืองเปอร์โต นาตาเลส เพื่อคืนรถเช่า และเตรียมตัวบินไปที่เมืองซันติอาโก เมืองหลวงของประเทศชิลีในวันรุ่งขึ้น

สำหรับคนที่หลงใหลในธรรมชาติ วิวทิวทัศน์ และภูมิประเทศที่สวยงาม “ปาตาโกเนีย” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เราอยากให้ทุกคนไปให้ได้สักครั้งในชีวิต แล้วที่นี่จะกลายเป็นความทรงจำอันสวยงามไปตลอดชีวิตคุณแน่นอน

บทความที่เกี่ยวข้อง: Five Things I Did Not Know About Milan

Get Exclusive Connections with LUXUO Thailand
Join us today
Connect!
Close
Join us for exclusive access to Luxuo Thailand's contents and events
Subscribe
close-image