แชร์ประสบการณ์เดินทางกับ Finnair เป็นครั้งแรกจากกรุงเทพไปลอนดอนซึ่งสรุปแบบสั้นได้ว่าคุ้มค่าและชอบบริการทุกอย่างแต่ใช้เวลาเดินทางรวมนานเกินไปเล็กน้อย
บทความ: รักดี โชติจินดา
***บทความนี้เกิดจากประสบการณ์บินแบบมีการซื้อตั๋วจริง ไม่ใช่การเดินทางฟรี และเขียนขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับนักเดินทางที่อาจจะใช้บริการในชั้นบิสซิเนสของสายการบินนี้ในอนาคต ผู้เขียนไม่สามารถบอกได้ว่าบริการในชั้นอีโคโนมีจะดีเท่า***
การเดินทางครั้งล่าสุดของผมนี้เป็นการนอกใจ Star Alliance เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี สาเหตุที่ต้องเลือกบินกับสายการบินที่ผมเก็บไมล์ไม่ได้ก็เพราะว่าผมต้องไปทำงานที่ลอนดอนเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม โดยที่วันผมเลือกวันที่จะออกเดินทางไม่ได้ จะต้องไปวันนั้นพอดี ไม่สามารถไปเร็วกว่านั้นหนึ่งวันหรือช้ากว่านั้นหนึ่งวันได้ ส่วนวันกลับนั้นค่อนข้างยืดหยุ่น จะกลับวันใดก็ได้ที่มีไฟลท์และตั๋วราคาดี แต่ข้อจำกัดของผมยังไม่หมดเพียงเท่านั้นเนื่องจากผมจะต้องหาตั๋วที่มีเงื่อนไขการยกเลิกและการคืนเงินที่ดีด้วย สาเหตุเพราะว่าผมติดปัญหาอื่นที่จะทำให้รู้ว่าสามารถเดินทางได้จริงหรือไม่เพียงแค่ 2 วันก่อนวันเดินทางเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อเริ่มเช็คตั๋วกับสายการบินต่างๆ ก็ขอตัดการบินไทยก่อนเลยเนื่องจากว่าเรื่องการคืนเงินอาจจะวุ่นวายและล่าช้าด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัท ตัวเลือกต่อไปที่คุ้นเคยคือ Lufthansa ซึ่งจะต้องไปรอเปลี่ยนเครื่องที่ที่มิวนิค 5.5 ชั่วโมง แถมไฟลท์ระหว่างกรุงเทพและมิวนิคก็ย่อมต้องเป็นที่นั่งแบบ 2-2-2 และไฟลท์ ส่วนไฟลท์ระหว่างมิวนิคและลอนดอนจะเป็นแถวที่นั่งแบบอีโคโนมีที่เว้นเบาะกลางไว้แล้วเรียกว่าเป็นบิสสิเนสคลาส
ทางด้าน Austrian Airlines ก็บังเอิญไม่มีไฟลท์ในวันขาไปของผม และที่นั่งระหว่างกรุงเทพและเวียนนาก็จะเป็นแถว 1-2-1 สลับกับ 2-2-2 ซึ่งถ้าจะเอาที่นั่งดีๆ แบบไม่ต้องลุกให้ใครหรือขอใครลุกก็ต้องจ่ายเพิ่ม ลองเช็ค Turkish Airlines แล้วด้วยแต่ไม่รู้ว่าเขาไม่บินลอนดอนหรือว่าไฟลท์มันเต็มหมดหรือว่าอะไรเพราะว่ากดในเว็บแล้วไม่ขึ้นเลย เช็คไปเช็คมาก็เริ่มถอดใจแล้วว่าคงไม่มีอะไรให้บินใน Star Alliance และจะยอมเริ่มดู Qatar กับ Emirates ก็ประจวบเหมาะกับตอนที่เอเจนซีของเจ้าภาพเสนอตัวเลือกเป็น Finnair
Finnair เป็นสายการบินที่ผมไม่ได้คิดถึงเพราะว่าไม่เคยบินด้วยและฮับเขาอยู่ไกลบ้านเรามาก แต่ก็ฟังดูน่าสนใจ ไฟลท์ออกจากกรุงเทพเวลา 21.30 น. มีเวลาเปลี่ยนเครื่องที่เฮลซิงกิแบบกำลังดี 2 ชั่วโมง 10 นาที แล้วสุดท้ายจะไปถึงลอนดอนเวลา 09.10 น. ของเช้าวันถัดไป เวลาของไฟลท์ขากลับก็ดีงามพอกัน ทั้ง 4 ไฟลท์ใช้เครื่อง Airbus A350 ซึ่งมีที่นั่งแบบ 1-2-1 ทั้งหมด ระบบกระเป๋าใช้แบบนับจำนวนใบ สำหรับบิสซิเนสคลาสจะได้สิทธิ์โหลดกระเป๋าใต้เครื่องคนละ 2 ใบ ใบละ 32 กิโลกรัม เงื่อนไขการยกเลิกและการคืนเงินก็ตอบโจทย์ความจำเป็นของผมในเวลานั้นได้อย่างดี แถมราคายังพอกับ Lufthansa และ Austrian Airlines แถมยังถูกกว่าการบินไทยในช่วงวันเดียวกัน Finnair จึงเป็นคำตอบสำหรับทริปนี้ของผมโดยปริยาย
การเช็คอินที่สุวรรณภูมิรวดเร็วตามที่ควรจะเป็นเพราะว่ามีช่องไพรออริตี้สำหรับผู้โดยสารบิสซิเนสคลาส จากนั้นก็ไปใช้ช่องฟาสท์แทร็คเพื่อสแกนกระเป๋าขึ้นเครื่องและใช้ Miracle Lounge ที่บริเวณเกท D ได้ ภายในเลาจ์มีอาหารและเครื่องดื่มแต่ว่าคนเยอะมากเนื่องจากมีสายการบินที่ใช้เลาจ์นี้หลายสาย แต่ว่าผมเดินทางคนเดียวก็ง่ายหน่อย ทานข้าวเสร็จก็ไปนั่งเคาน์เตอร์ที่เป็นเก้าอี้สูงได้ เปิดคอมทำงานทำอะไรไปจนถึงเวลาขึ้นเครื่องค่อยเดินไปเกท D6 ที่อยู่แทบจะตรงหน้าเลาจ์พอดี
เครื่อง Airbus A350 ทั้ง 4 ลำที่ผมได้นั่งในทริปนี้มีห้องโดยสารแบบเก่าที่ Finnair กำลังเฟสออก ไม่ใช่แบบใหม่ที่มีเบาะทรงโค้งๆ สีน้ำเงินเข้มซึ่งในเว็บไซท์ของสายการบินบอกว่าจะทยอยเปลี่ยนให้กับเครื่องบินลำต่างๆ ของตนให้ครบภายในปี ค.ศ. 2023 ที่นั่งแบบที่กำลังตกรุ่นนี้มีลักษณะและดีไซน์เกือบจะเหมือนกับเครื่อง Airbus A350 ของ Cathay Pacific (เผื่อว่าคุณผู้อ่านเคยใช้บริการ จะได้นึกออก) ผมได้ที่นั่ง 1A คือริมหน้าต่างด้านซ้ายสำหรับไฟลท์กรุงเทพ-เฮลซิงกิและที่นั่ง 1L คือริมหน้าต่างด้านขวาสำหรับไฟลท์เฮลซิงกิ-กรุงเทพ ซึ่งที่นั่งแถวเลข 1 นี้มีหน้าต่างแค่บานเดียวครับ แถวอื่นๆ ข้างหลังเขามีหน้าต่าง 2 บานกันทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
ที่ผมแปลกใจตอนขึ้นเครื่องก็คือว่าเหนือที่นั่งของผู้โดยสารบล็อกตรงกลางนั้นไม่มีช่องเก็บของครับ เขาต้องเอากระเป๋าและของทุกอย่างมาฝากไว้เหนือผู้โดยสารที่นั่งริมหน้าต่างกันทั้งหมด และก็ไม่น่าเชื่อว่าจะพอเพราะว่าที่จริงผู้โดยสารในชั้นบิสซิเนสนี้ก็เต็มอยู่เหมือนกัน
สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยเห็นสายการบินอื่นมีและผมชอบมากก็คือเส้นไทม์ไลน์บนหน้าจอซึ่งจะบอกว่าจะเสิร์ฟอาหารเมื่อใดหลังจากเทคออฟและก่อนแลนดิ้ง มันอาจไม่ใช่เรื่องที่เราต้องรู้ หรืออาจะเป็นเรื่องที่เราเดาได้ แต่ว่าหากรู้ชัดๆ ไปเลยก็จะได้วางแผนดีๆ ว่าจะนอนเมื่อใดและตื่นเมื่อใด มื้อค่ำของผมบนไฟลท์นี้เป็นเนื้อซี่โครงตุ๋นซึ่งจัดว่าดีงามมากสำหรับการเป็นอาหารที่เสิร์ฟบนเครื่อง ไฟลท์นี้ยาว 12 ชั่วโมง 20 นาทีและมีผู้โดยสารเพียงแค่ 2 คนที่ต้องตื่นมานั่งทำงานต่อ (แน่นอนว่าคนหนึ่งก็คือข้าพเจ้านี้เอง) คุณลูกเรือเห็นว่าไม่นอนก็เลยเอาแซนด์วิชมาให้ในความมืด ตอนแกะไม่ได้เปิดไฟดู แต่พอกัดไปแล้วพบว่ามันเลิศมาก น่าจะเป็นพาสตรามีเนื้อแหละ ไม่น่าจะเป็นอย่างอื่นไปได้ เลิศขนาดที่ว่าพายหัวหอมและลีคกับโคลด์คัทที่เสิร์ฟเป็นข้าวเช้าหลังจากนั้นไม่มีรสชาติไปเลย
หลังจากบินอ้อมยูเครนเป็นที่เรียบร้อยเครื่องของเราก็ลงจอดที่สนามบินเฮลซิงกิ-วานตาก่อนเวลาที่กำหนดไว้ 20 นาที การต่อเครื่องไม่ยุ่งยาก แค่เดินทางจากเกทไปยังจุดตรวจซีเคียวริตี้ซึ่งมีจำนวนช่องและเจ้าหน้าที่เพียงพอต่อจำนวนผู้โดยสารที่เข้ามา
เลาจ์ผู้โดยสารชั้นบิสซิเนสของ Finnair อยู่ไม่ไกลจากจุดนี้แต่ว่าเขาเปิดเวลา 06.00 น. ดังนั้นพวกเราที่เดินกันไวก็ต้องยืนคุยกันแบบเขินๆ ไปก่อน แต่เมื่อเปิดแล้วอาหารข้างในก็พร้อมเสิร์ฟ หรือใครไม่ทานอะไรก็กดกาแฟแล้วไปหามุมนั่งที่ถูกใจเลยก็ได้ จะเป็นโต๊ะยาว เป็นโซฟา เป็นคอก มีให้เลือกทั้งหมด ห้องอาบน้ำเขาก็มีแต่ผมไม่มีเวลาไปสำรวจว่าสะดวกสบายหรือไม่อย่างไรจึงไม่มีข้อมูลมารายงานต่อ แต่โดยรวมถือว่าเป็นการเปลี่ยนเครื่องที่สะดวกสบายและไม่เครียด ไม่วุ่นวาย ไม่คนเยอะ ไม่เดินไกลแบบโดฮาหรือดูไบ ความรู้สึกคือสงบดี และถึงจะได้เกทเบอร์ไกลๆ ก็แค่เดิน ไม่ต้องถึงกับวิ่ง และไม่มีการมุดขึ้นลงอุโมงค์แบบแฟรงค์เฟิร์ตด้วย
ไฟลท์สั้นที่นั่งไปลอนดอนของผมใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง 10 นาที ที่นั่งของผมคือ 5L ทางขวาซึ่งมีหน้าต่าง 2 บานแต่โชคไม่เข้าข้างตรงที่เมฆข้างนอกไม่มีอะไรพิเศษหรือสวยงามเลยตลอดทั้งไฟลท์ ผมก็พยายามถ่ายรูปเก็บไว้ตรงช่วงที่เมฆเป็นแพเนียนๆ บ้างอะไรบ้าง เพื่อมาเก็บเป็นคอลเลคชั่น ข้าวเช้าที่เสิร์ฟบนเครื่องก็เฉยๆ เช่นกัน เหมือนเมฆทุกประการ เครื่องเดินทางถึงสนามบินฮีทโธรวเทอร์มินอล 3 ตรงเวลาแต่ว่าเกทของเรายังไม่ว่าง เครื่องที่เข้าเกทก่อนหน้ายังไม่ออกมาเพราะว่ายังโหลดกระเป๋าไม่เสร็จตามสถานการณ์ที่สนามบินประกาศว่ามีพนักงานไม่เพียงพอในช่วงนั้น กัปตันจึงประกาศอธิบายสถานการณ์รอของเราให้ทุกคนบนเครื่องได้ทราบและรออย่างสงบก่อนได้เข้าเกทในที่สุด
ผมก็นึกว่าจบเรื่องแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ที่ไหนได้ เจอคิวตรวจคนเข้าเมืองยาวเหยียดไปเลยครับ รวมเวลารอ 2 ชั่วโมง 20 นาที เพราะว่ามีผู้โดยสารที่ผมคะเนด้วยสายตาอย่างน้อย 300 คน ในขณะที่เจ้าหน้าที่มีเพียง 3-4 คนเท่านั้น ถือว่าเป็นการต่อแถวตรวจคนเข้าเมืองที่ยาวนานที่สุดติดอันดับท็อปทูว์ในชีวิตผม โดยที่อีกครั้งที่รอนานพอกันนี้คือที่นาริตะเมื่อราว 4 ปีก่อนแต่ตอนนั้นไม่ได้ดูเวลาดีๆ ว่านานแค่ไหนกันแน่ แต่ก็นั่นล่ะครับ ผ่านมาได้คือจบ ได้เข้าลอนดอนไปทำงานที่ต้องทำ เจอคนที่ต้องเจอ และดูสิ่งที่ต้องดูจนเป็นที่เรียบร้อย
เวลา 4 คืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมต้องกลับบ้านแล้วครับคุณผู้อ่าน อะไรกันนิ Finnair มีส่งอีเมลมาล่วงหน้า 1 วันเพื่อขอให้ผู้โดยสารมาถึงฮีทโธรว์เร็วเป็นพิเศษเพื่อป้องกันปัญหาเรื่องการโหลดกระเป๋าของสนามบิน ผมก็กลัวเรื่องนี้อยู่แล้วและกลัวรถติดด้วยสุดท้ายเลยนัดรถให้มารับเร็วมากเกินไป ประกอบกับรถไม่ติดจริงจึงไปถึงสนามบินก่อนเวลาเช็คอินของไฟลท์ผม แต่เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ Finnair ก็เช็คอินกระเป๋าผมให้ก่อนแบบไม่ต้องคุยอะไรกันมาก เพื่อที่ผมจะได้ไปผ่านซีเคียวริตี้ ช้อปปิ้งและใช้บริการเลาจ์ได้เลย นี่เป็นครัง้แรกที่ผมออกจากอังกฤษผ่านทางเทอร์มินอล 3 ซึ่งเมื่อเทียบกับเทอร์มินอล 2 แล้วต้องบอกว่าเทอร์มินอล 3 ดูด้อยกว่ามาก แต่เจ้าหน้าที่ตรงจุดสแกนกระเป๋าขึ้นเครื่องนั้นมารยาทดีงามและสุภาพเท่าที่เจอที่เทอร์มินอล 2 แถมยังยิ้มให้ผมด้วย ทั้งคนตรงจุดที่เริ่มต่อคิวและจุดที่วางของลงบนถาด เพราะเขาเห็นว่าผมแพ็คของเหลวลงถุงพลาสติกและเตรียมแล็ปท็อปไว้วางแยกอย่างเรียบร้อยตั้งแต่เขายังไม่พูดอะไร ระหว่างนั้นช่องข้างๆ ก็โดนเอาเจลแต่งผมโยนทิ้งเพราะว่าเกินปริมาตรที่อนุญาตต่อคน
ผู้โดยสารชั้นบิสซิเนสของ Finnair และ American Airlines สามารถใช้เลาจ์ของ Cathay Pacific ได้เพราะว่าเป็นสมาชิก Oneworld ด้วยกัน เลาจ์นี้มีป้ายตัวโตเรียกว่า Lounge C และอยู่ใกล้กับเกท 11 ที่นี่มีห้องอาบน้ำด้วยแต่ผมไม่ได้เข้าไปดูหรือใช้เพราะว่าเพิ่งอาบมาจากโรงแรมก่อนเช็คเอาท์ จึงต้องขออภัยที่ขาดข้อมูลเรื่องนี้อีกแล้ว
ขณะนั้นผมยังไม่ทราบว่าไฟลท์ของผมจะอยู่ที่เกทอะไร ผมจึงเลือกมุมที่ถูกใจที่อยู่ไกลผู้คนแล้วก็เริ่มกระบวนการทดสอบอาหาร เริ่มด้วยติ่มซำเข่งที่หนึ่ง ข้าวผัดชามนึง แล้วก็ติ่มซำเข่งที่สองเพื่อให้หายคิดถึงฮ่องกง จากนั้นจึงไปขอคอนยัคแก้วหนึ่งที่บาร์แต่ไม่รู้ว่าพนักงานเป็นมือใหม่หรืออย่างไรจึงรินให้เยอะเว่อร์มากๆ ถ้าจะดื่มให้หมดคงต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมง เสียดายของเหมือนกัน แต่เราก็ไม่พยายามดื่มอะไรเยอะขนาดนี้ก่อนขึ้นเครื่อง มาถึงจุดนี้ผมไม่มีงานค้างอะไรที่เร่งด่วนแล้วจึงนั่งเล่นเฉยๆ ได้ เอามือถือมาเปิดตอบข้อความบน Facebook และก็ส่งข้อความในกรุ๊ป LINE ของที่บ้านว่าจะขึ้นเครื่องแล้วนะ อะไรก็ว่าไป สักพักก็มีประกาศว่าขอให้ผู้โดยสารบนไฟลท์ผมไปขึ้นเครื่องได้แล้วที่เกท 40 ซึ่งอยู่ไกลเหมือนกันแต่เดินตรงๆ เดี๋ยวก็เจอ ไม่ต้องเล่นซ่อนหาอะไรกัน
ไฟลท์ของผมออกเวลา 18.10 น. ฟ้าจึงยังสว่างอยู่เพราะว่าเป็นเดือนกรกฎาคม คราวนี้ผมได้ที่นั่ง 2A ซึ่งมีหน้าต่าง 2 บาน แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่มีเมฆอะไรปังๆ เลยตลอดทั้งไฟลท์ ระหว่างทางมีการเสิร์ฟลาซานย่าเนื้อจานเล็กๆ แต่เอาจริงๆ เราก็ไม่หิวแล้วเพราะว่าเพิ่งทานที่เลาจ์มา
ความสวยงามของไฟลท์นี้เริ่มต้นขึ้นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลาแลนดิ้ง 23.00 น. ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ส้มและแดงเพราะว่าดวงอาทิตย์กำลังจะตก (กว่าจะยอมตก) ผมถ่ายรูปพื้นที่เคบินรอบๆ ตัวเป็นสีเหลืองทองอมส้มเพราะแดดที่สาดส่องเข้ามาได้รูปหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนโหมดเป็นถ่ายวีดีโอแบบไทม์แลปส์เพื่อเก็บบรรยากาศท้องฟ้าฟินแลนด์ยามอาทิตย์อัสดงขณะที่เครื่องร่อนลงจอด ระหว่างนั้นมีพี่แอร์ท่านหนึ่งเดินมาเห็นก็เอ่ยปากชื่นชมที่เราชอบดูท้องฟ้า พลางบอกว่า “บินมา 30 ปีแล้วก็ยังดูฟ้าไม่เบื่อเหมือนกัน” เลยรู้อายุเลยทีนี้ ครั้นเราจะชมว่าพี่หน้าเด็กกว่าอายุมากก็กลัวว่าพูดเป็นภาษาอังกฤษแล้วจะเข้าใจอะไรผิดกันเลยตอบว่าแต๊งกิ้วเฉยๆ ดีกว่า
สิ่งที่แตกต่างจากขามาจากไทยก็คือว่าพอออกจากเครื่องแล้วเราไม่ต้องผ่านจุดสแกนอะไรทั้งสิ้น เขาปล่อยเราเข้าไปรวมกับผู้โดยสารอื่นในเทอร์มินอลเลยทันที ผมรีบตรงไปยังร้าน Moomin เพราะว่าเพื่อนๆ ฝากความหวังกันไว้หลายคน แต่ อนิจจา ร้านปิดแล้ว! เพราะว่าเวลาจริงๆ มันคือเกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่เรายังรู้สึกว่าไม่กี่โมงเพราะว่าฟ้ายังไม่มืดนั่นเอง พอเห็นอย่างนั้นผมก็ยังไม่ละความพยายาม รีบไปที่เลาจ์ของ Finnair เพราะจำได้ว่าเห็นตุ๊กตา Moomin อยู่ในตู้กระจก และจะได้ซื้อโมเดลเครื่องบินให้พี่อีกท่านหนึ่งที่เขาสะสมด้วย ปรากฏว่าแห้วซ้ำอีกรอบ เพราะพนักงานที่เคาน์เตอร์บอกว่าของทั้งหมดวางโชว์สวยๆ ไม่ได้ขาย … เอ้ออออออ …. นะ เมื่อยอมรับความผิดหวังทุกประการได้แล้วผมจึงเดินไปที่ Blueberry Bar เพื่อขอเครื่องดื่มหนึ่งแก้วปลอบใจตนเอง มาคราวนี้มีบาร์เทนเดอร์แล้ว ตอนรอบแรกที่มาจากไทยนั้นเช้าเกินไป เขายังไม่มาทำงาน หลังจากนั้นก็เข้าห้องน้ำในเลาจ์เพื่อเตรียมเดินไปเกทเลย
ไฟลท์นี้ของผมออกเวลา 00.45 น. กระบวนการบอร์ดดิ้งเสร็จสิ้นตรงเวลา ผมกดดูกล้องหางเครื่องเห็นว่าเครื่อง Airbus A350 ลำนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ลำของ Finnair ที่มีลาย Marimekko ด้วย (เหมือนกับชุดแทรเวลคิทที่ให้บนเครื่องไฟลท์ลองฮอลที่เป็น Marimekko เช่นเดียวกัน) เชื่อไหมครับว่าตอนเครื่องกำลังแท็กซี่ไปที่รันเวย์ตอน 00.48 น. นี่ฟ้ายังไม่มืดสนิทเลย ยังเห็นสีแดงๆ อยู่ตรงขอบฟ้าหน่อยนึง แต่ว่ามือถือไม่ให้ความร่วมมือ โฟกัสผ่านกระจกไม่สำเร็จเพราะงงกับเงาสะท้อนสิ่งต่างๆ ในเครื่อง ผมก็กดชัตเตอร์ทั้งที่ภาพเบลอๆ แบบนั้นมา 2-3 รูปเป็นที่ระลึก เมื่อเครื่องขึ้นไปแล้วผมก็เลือกข้าวเย็นเป็นเรนโบว์เทราท์รวมควันกับพิวเรถั่วและซอสหอยแมลงภู่เพราะว่าอ่านชื่อแล้วเดารสไม่ถูกจริงๆ อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร เมื่อลองแล้วก็พบว่ามันว้าวเอาเรื่องเลย เกิดมายังไม่เคยทานอาหารบนเครื่องที่เป็นสายการบินยุโรปแล้วประทับใจขนาดนี้ ใกล้เคียงที่สุดคือข้าวเช้าของ Turkish Airlines ไฟลท์หนึ่งจากอิสตันบุลไปซูริคในปี ค.ศ. 2019 ซึ่งในถาดมีเครื่องเคียงเป็นรังผึ้งกับคล็อตเต็ดครีมที่ยังประทับใจมาจนถึงวันนี้
ทานเสร็จก็เปิดหนังจะดูสักเรื่อง ปรากฏว่าหลับไปตั้งแต่หนังเริ่มได้ไม่กี่นาที คงเพราะว่าง่วงสะสมจากที่แทบไม่ได้นอนเลยตอนอยู่ลอนดอน ตื่นมาอีกทีอยู่เหนือทะเลแคสเปียนแล้ว และก็รู้สึกแปลกๆ ที่บินอยู่แถวนี้ช่วงเวลากลางวัน เหมือนจะไม่เคยมาก่อนก็เลยแก้งงด้วยการสั่งเอสเพรสโซ่หนึ่งแก้วมาเรียกวิญญาณกลับเข้าร่าง แล้วจากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า Finnair เขามีค็อกเทลระดับซิกเนเจอร์ที่เขาโปรโมทจริงจังชื่อ Northern Blush ก็เลยลองสั่งมาเล่นๆ แก้วหนึ่ง ตามสูตรบอกว่ามีส่วนประกอบเป็นลิงกอนแบรี่ (ซึ่งไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร) ผสมกับจินและเปลือกส้ม ตัวค็อกเทลนั้นทำบนพื้นดินและบรรจุกระป๋องมาแล้ว เขาแค่เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งอยู่แล้วตกแต่งด้วยเลม่อนฝานหนึ่งชิ้น
ช่วงเวลาไฟลท์สุดท้ายนี้เองที่ผมมีเวลาเอ็นจอยอะไรจริงๆ บ้าง และก็เริ่มคิดว่าเราควรจะเขียนบทความนี้ขณะที่นั่งอยู่ในที่นั่ง 1L (ซึ่งมีหน้าต่างบานเดียว ใช่แล้วครับ) ลูกเรือ Finnair ทั้ง 4 ไฟลท์น่ารักทั้งหมด ทุกคนทำงานกันแบบโปรกันตามมาตรฐานอยู่แล้ว แต่ว่าไม่เป็นหุ่นยนต์ มีการพูดเล่นกับผู้โดยสารบ้างอะไรบ้างในระดับที่โอเคเลยคือไม่เฟรนด์ลีเกินไป มีอยู่ช่วงหนึ่งได้ความรู้สึกเหมือนกำลังบินกับลูกเรือ ANA อยู่แต่ว่าเขาก็ดูรีแล็กซ์กันกว่านั้น สงสัยผมควรสรุปแค่ว่าผมรู้สึกอบอุ่นในบรรยากาศนี้และสัมผัสได้ถึงความตั้งใจในการให้บริการของลูกเรือก็แล้วกัน และคิดว่าทางสายการบินคงมีโปรโตคอลเรื่องการทำความสะอาดอะไรที่เคร่งครัด เพราะว่าทุกคนดูขยับเก็บทุกอย่างที่เราวางไว้มาก ขนาดกระดาษที่เขาเอามารองแก้วและเราพยายามเก็บไว้ใช้ต่อกับแก้วต่อไปเขาก็พยายามเก็บไปทิ้งถ้าเราไม่ห้าม และที่ผมสังเกตอีกเรื่องคือความถี่ในการทำความสะอาดห้องน้ำครับ เดี๋ยวแป๊บๆ ก็มาเช็คห้องน้ำอีกแล้ว ดีจังเลย บางสายการบินนี่คือแบบอย่าให้พูดจริงๆ
พอกลับมาเมืองไทยได้ 6 วันผมก็ได้รับอีเมลแจ้งว่าผมได้รับการเลื่อนขั้นจากผู้โดยสารหน้าใหม่เป็นสมาชิกระดับ Finnair Plus Silver แล้วซึ่งผมก็ยังไม่ได้ศึกษาว่ามีสิทธิพิเศษอะไรบ้างเวลาบินกับ Finnair หรือสายการบินอื่นในเครือ Oneworld แต่ว่ามีไว้ก่อนย่อมดีกว่าไม่มีแน่นอน หากถามว่าจะบิน Finnair อีกหรือไม่ก็ต้องตอบว่าบินสิครับ แต่ต้องขอดูก่อนว่าจุดหมายของผมคือที่ใด เพราะว่างานที่ผมทำส่วนมากก็มีแต่ไปสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศสและเยอรมัน ไม่ใช่มาแถบสแกนดิเนเวีย หรือแม้แต่อังกฤษนี่ก็แทบจะไม่ได้ไปหรอก และไม่ว่าอย่างไรผมก็ต้องเช็คไฟลท์การบินไทยก่อนอยู่แล้วเพื่อคงสถานะบัตรทอง ไม่งั้นถ้าตกชั้นแล้ววันไหนบินอีโคโนมีโดยไม่มีบัตรทองจะอดได้รับความสะดวกสบายที่เคยชินไปแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่อ่านกันมาจนถึงจุดนี้และหวังว่าคุณผู้อ่านจะเพลิดเพลินไปกับการเดินทางด้วยภาพกับ Luxuo Thailand นะครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง: More Than a Landmark – Shangri-La The Shard, London
I took four Finnair flights roundtrip between Bangkok and London, and I liked the experience despite the detour and the slightly longer flight time.
Words: Ruckdee Chotjinda
***First of all, let me be clear that these are paid flights. This article is not sponsored by Finnair in any way. I am just sharing my experience for the benefit of other travelers who may be considering the business class of this airline for their future trips. Experience with their economy class will, of course, differ.***
For the first time in a long time, I took long haul flights with an airline outside of the Star Alliance network and forego the precious miles in the process. It was totally out of necessity because I was traveling to London for work and my outbound date in early July was not flexible. To make the matter more complicated, I had to get a ticket with highly accommodating cancellation/refund policy as I would not know if I could actually make the trip until two days before the departure date.
I could not use Thai Airways because, considering their current state of business, a refund might have been a great hassle. Lufthansa was a possibility but it involved five and a half hours layover time in Munich, and I would have to be flying in a 2-2-2 business class cabin between Bangkok and Munich and in the so-called fake business class (economy seat rows with the middle seat blocked) between Munich and London.
Austrian Airlines did not have the necessary flights on my outbound date, and their business class configuration between Vienna and Bangkok is the 1-2-1 / 2-2-2 kind where one would have to pay extra for a preferred seat anyway. Turkish Airlines did not seem to operate the London route at the moment or they were all full. I was almost ready to consider Qatar and Emirates, then the travel agency used by my host proposed Finnair.
Finnair was not an airline I have flown with previously but it sounded intriguing to me. Departure time from Bangkok was good at 21:30. Layover time in Helsinki was comfortable at two hours and 10 minutes. Eventual arrival time in London also worked well for me at 09:10 of the next day. Timing was also fine for the return flights. All four flights were operated by an Airbus A350 with a 1-2-1 configuration for the business class. Luggage was on a by piece basis with two pieces of checked-in luggage allowed for this class at the weight of 32 kg each. Cancellation/refund policy was ideal for my circumstances at the moment. Plus, the price was comparable to Lufthansa and Austrian Airlines, and cheaper than Thai Airways for the same dates. Finnair ticked every box. The decision was made to fly with them.
Business class check-in at Suvarnabhumi Airport was a breeze, thanks to the two priority lanes. Finnair business class passengers could then make use of the Fast Track security screening lane and the Miracle Lounge at Concourse D. The lounge served food and drinks but it was quite crowded because it was used by so many airlines, but I was just one person so I could manage easily enough. I continued to work on my laptop until boarding time because I knew my flight was at Gate D6 which was only a stone’s throw away from the lounge.
All of the four Airbus A350 aircrafts I was on during this trip featured the outgoing cabin style, not the new one with the contoured shell design seats in dark blue. I was told by a crew that the new style was being gradually rolled out. This was later confirmed by Finnair’s web site which estimated completion by 2023. The current (outgoing) seats looked and felt almost like that on a Cathay Pacific Airbus A350 if you were on one. My 1A seat on the left for the Bangkok-Helsinki flight and 1L seat on the right for the Helsinki-Bangkok flight had only one window. Most if not all other A and L seats in the rows behind me had two windows each.
What surprised me was the lack of overhead stowage for passengers sitting in the middle block. They had to use the bins above the window seats which were thankfully sufficient for all four flights I was on despite the business class being full.
One nice feature I did not experience with another airline was the timeline of when the meals were being served after the takeoff and before the landing. While it was not necessary as one could guess and plan when to take a nap or to wake up, it was kind of nice to know for sure. My dinner of slow-cooked beef short ribs was very good for an in-flight meal. During the 12 hours and 20 minutes flight, only two passengers had to wake up midway to work on their laptop (no points for guessing I was one of the two) and a flight attendant offered us what must have been a beef pastrami sandwich. It was too dark to tell but it was so remarkable that the actual breakfast of onion and leek pie with cold cuts paled by comparison.
After doing the detour around Ukraine, my flight landed at Helsinki-Vantaa Airport about 20 minutes ahead of schedule. Transiting was very convenient with a moderate walking distance from the gate to the security screening area with enough lanes and officers to handle incoming passengers.
Finnair Business Lounge was just a short walk away but it opened at 06:00 so the few passengers had to wait for a bit. The breakfast buffet line in front of the open kitchen was all ready and the passengers were free to choose a seating area or style of their preference. Shower facilities were available but I did not have the time to check them out so I am unable to report on the subject. But all in all, the transit experience was so much more pleasant to me than at Doha’s Hamad International Airport and especially Dubai International Airport. Things were much more peaceful. And even with a farther gate, you should not have to run, and there is no going up and down and going through a tunnel involved like at the Frankfurt Airport.
Before I knew it, it was time to proceed to the gate for the three hours and 10 minutes flight to London. I had the 5L seat with two windows to myself. However, the cloudscape outside was not impressive at all throughout that morning flight – I have this habit of snapping pictures of the cloud, but that is a subject for another article. Breakfast was served shortly after takeoff, but there was nothing to write home about. The flight arrived at Terminal 3 of Heathrow Airport on time, but our gate was still occupied by the aircraft before us. This was due to the baggage handling situation at Heathrow Airport at the moment so we had to wait a good while before taking their place.
The immigration screening situation that followed was also exceptional. There were three to four officers at the time and at least 300 passengers in the line ahead of me. It took two hours and 20 minutes totally, ranking among the top two longest immigration experiences in my life as a traveler. The other one was at Narita maybe four years ago. Anyway, I was finally in London, did what I had to do, met who I had to meet and saw what I had to see.
After a short 4-night stay, I began my journey home. I took Finnair’s e-mail advice to arrive and check my luggage in early in order to avoid any inconvenience from the airport’s baggage handling situation. I factored in the traffic which turned out to be okay and arrived at the Finnair counter before the check-in time of my flight. The gentleman was kind enough to let me check my luggage in early any way so I can begin my security, shopping and lounging processes. This is the first time I exited via Terminal 3 and I must say that Terminal 2 was more pleasant in general. The security screening officers were equally courteous, and I got their smiles of approval for being prepared (liquids, electronics and all). Meanwhile, the passenger entering the next lane got his hair gel thrown into the bin because it exceeded per person allowance.
Finnair business class passengers were supposed to use the Cathay Pacific Lounge (Lounge C) as they are both part of the Oneworld network. The other airline listed as using this lounge as well is American Airlines. This lounge is located near Gate 11. Shower facilities were available, but, again, I did not check it out because I just came straight from my hotel room. Sorry for not having anything to share on this.
Anyway, it was not yet indicated what gate my flight was going to be so I picked a comfortable spot in the spacious lounge, enjoyed a basket of mixed dim sum, a bowl of fried rice and another basket of that mixed dim sum just because I missed Hong Kong. The lady at the bar seemed unfamiliar with cognac and poured me too big a serving which I could not healthily finish in time for my flight. By this time of the trip, my overdue work was all done and I was free to really lounge around, responding to Facebook comments and texting my family. A boarding announcement was made for my flight and I proceeded to Gate 40 which was quite far but easy to find.
My flight’s departure time was 18:10 but we had daylight for the whole duration because it was July. My seat this time was 2A so I had two windows, but the cloudscape was featureless every time I looked out. I was served a small beef lasagna for dinner but I was not really hungry after my visit to the lounge.
Then, about 30 minutes before the scheduled landing at 23:00, the sky began to burst into the color of twilight. I took a picture of the cabin space around me being lit up in orange, then I successfully captured a time lapse of the Nordic sunset as the aircraft descended and touched down on the runway. A flight attendant complemented me for admiring the beauty of the skies. “I still do that after 30 years,” she said. I wanted to respond by saying she looked very young but decided to just say thank you because chances were that whatever I said could come out wrong in English.
After exiting the aircraft, there was no security screening for transit passengers. We were allowed directly into the general population area. But to the dismay of my friends, the Moomin shop was already closed! In fact, all non-food shops had closed as it was less than an hour to midnight already. It was the lingering presence of the sun that confused me. Anyway, I tried at the Finnair Business Lounge to buy the Moomin plush dolls for a friend and the Finnair aircraft models for another friend, but the reception lady said everything in the showcases was for display only. I resigned to the fact that nothing could be done, grabbed a drink from their Blueberry Bar which was now staffed by a bartender, used the toilet and headed out to my gate for the 00:45 departure.
Boarding was complete on time. Unlike the first three Airbus A350 I was in, this aircraft was one of the few that featured a Marimekko pattern on it (the travel kits on long haul flights were made by Marimekko also, by the way). As we taxied to the runway at 00:48, I saw the last red glow of the sun on the horizon but my phone failed to focus on the distance. I chose lightly smoked rainbow trout with pea puree and creamy mussel sauce for dinner out of curiosity and it was fantastic for an in-flight meal. I have never had food this memorable on a European airline before. The only thing that came close was comb honey and clotted cream I had as a part of breakfast on a Turkish Airlines flight from Istanbul to Zurich in 2019.
I tried to watch a movie but passed out in a matter of minutes due to lack of sleep during the prior nights. When I woke up, we were flying above the Caspian Sea. It felt a bit weird for me to be around this area during the daytime instead of at night so I ordered an espresso to inject some sense into myself first. Remembering that Finnair serves some kind of a signature cocktail, I ordered also the Northern Blush. This cocktail of lingonberries, gin and orange peel was packaged in ready-to-drink can but served in a proper glass with ice and a slice of lemon.
It was during this last flight that my mind was in the right place to really enjoy it, and to reflect on my first Finnair experience from my 1L seat (with only one window again, yes). I found the crew on all four flights to be equally great. They were professional and courteous with just the right level of balance of a friendly touch. I was not sure why but at one point I was reminded of ANA – perhaps, it was how they seemed quite methodical with things. Or I could just say that I felt truly welcome, and that I felt engaged as a person and not a job. The vibe was just right for me. They seemed to be quite particular about tidiness and cleanliness as well. Every time I kept the drink napkin for the next glass, they tried to take it away. I noticed they cleaned the toilets more often than most airlines I have flown with as well. I am giving extra points for the effort.
Six days after arriving back in Thailand, I received an e-mail from Finnair, saying that I made it to their Finnair Plus Silver tier. I have yet to study what benefits that offers at Finnair and within the Oneworld network but surely it must be a good start. Will I fly with Finnair again? The answer is a solid yes, absolutely, if it works for my destination. But I doubt the opportunity will not present itself any time soon because work usually takes me to Switzerland, France and Germany, not Scandinavia or the United Kingdom. Also, I will always check my options with Thai Airways first, regardless of destination, in order to retain my frequent flyer membership status and the associated benefits. Thank you for reading this far and I hope you enjoyed this virtual journey on Luxuo Thailand!
See also: More Than a Landmark – Shangri-La The Shard, London