Five Natural Phenomena to See for Yourself

Share this article

5 ปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าทึ่ง ที่คุณควรไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต
บทความ: เนตรนภา ปะวะคัง ภาพเปิด: Shutterstock

ธรรมชาติทั่วโลกเต็มไปด้วยปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา โลกใบนี้มีความงดงามและความแปลกประหลาดเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่หากจะว่าไปแล้ว ก็คงมีเพียงไม่กี่แห่งที่สามารถดึงดูดผู้คนให้เดินทางไกลเพื่อตามหาความมหัศจรรย์เหล่านั้นได้ นั่นทำให้การได้เห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้กับตาตัวเองถือเป็นประสบการณ์ที่มีค่า จนหลายคนถึงกับบันทึกเอาไว้ในรายการสิ่งที่ต้องทำสักครั้งในชีวิต และนี่คือ 5 ปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าทึ่งที่หากมีโอกาส ก็ไม่ควรพลาดที่จะไปเห็นสักครั้ง

1. ทะเลเรืองแสงที่มัลดีฟส์
ในบางช่วงเวลาของปี หากมีปัจจัยทางธรรมชาติและช่วงเวลาเหมาะสม ทะเลที่มัลดีฟส์จะเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่า “ทะเลเรืองแสง” หรือที่บางคนอาจรู้จักในชื่อ “พรายน้ำ” ซึ่งเป็นผลมาจากการที่แพลงก์ตอนในกลุ่ม ไดโนแฟลกเจลเลต สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในท้องทะเลที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าทำปฏิกริยาส่องแสงสว่างในตนเอง โดยแพลงก์ตอนเหล่านี้จะดูดซึมแสงสว่างจากดวงอาทิตย์เอาไว้ในตอนกลางวัน และปล่อยแสงออกมาผ่านผนังเซลล์เป็นแสงสีฟ้าหรือสีฟ้าอมเขียวในตอนกลางคืน ซึ่งถือเป็นกลไกป้องกันตัวตามธรรมชาติเมื่อถูกกระตุ้นด้วยสิ่งต่างๆ เช่น การเคลื่อนไหวของน้ำ การสัมผัสกับชายฝั่ง การโจมตีของสัตว์นักล่าในทะเล ยิ่งถูกรบกวนมากเท่าไหร่ แพลงก์ตอนเหล่านี้ก็จะยิ่งปล่อยแสงออกมามากขึ้นเท่านั้น แม้จะเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ปกติทั่วโลก แต่น้ำทะเลในแถบมัลดีฟส์ก็พิเศษกว่าที่อื่นคือมีอาหารของแพลงก์ตอนชนิดนี้ในจำนวนมาก พวกมันจึงขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว และทำให้ผู้มาเยือนได้พบเห็นปรากฏการณ์นี้ได้บ่อยครั้งกว่าที่อื่น และรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ท่ามกลางดวงดาวส่องประกายระยิบระยับอยู่ทั่วผืนน้ำและผืนทราย ถือว่าโรแมนติกมากเลยทีเดียว


2. แสงเหนือในแถบสแกนดิเนเวีย
“แสงเหนือ” หรือที่มักเรียกว่า “ออโรรา” ที่พบในแถบสแกนดิเนเวีย เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าทึ่งที่สุดในโลก แสงเหนือเกิดจากการอนุภาคไฟฟ้าพลังงานสูงที่ถูกปล่อยออกมาจากแสงอาทิตย์ปะทะกับก๊าซในชั้นบรรยากาศ จนระเบิดหรือแผ่พลังงานออกมาเป็นลำแสงสีต่างๆ เช่น สีเขียว สีแดง สีม่วง พาดผ่านท้องฟ้าเหนือขอบฟ้าในยามค่ำคืน ขึ้นอยู่กับว่าแสงนั้นเกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศไหน และเกิดจากก๊าซอะไร ประเทศบริเวณแถบสแกนดิเนเวีย เช่น นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ เป็นจุดชมแสงเหนือที่มีชื่อเสียงที่สุด เราจะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกจะออกทริปล่าแสงเหนือในช่วงฤดูหนาวของทางขั้วโลกเหนือ คือในเดือนกันยายน ตุลาคม มีนาคม และเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะเกิดแสงเหนือ และหากเป็นช่วงที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไร้เมฆ มืดสนิท และมีสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างปลอดมลพิษ โดยเฉพาะในช่วง 22.00 – 24.00 น. ก็จะยิ่งมีโอกาสได้เห็นแสงเหนือมากขึ้นไปอีก การได้ยืนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ และได้เห็นแสงสีเต้นระบำและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ บนท้องฟ้า ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ควรค่าแก่การไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต


3. แสงใต้ที่แถบซีกโลกใต้
จริงๆ แล้วแสงออโรราสามารถเกิดขึ้นได้ในแถบประเทศที่อยู่ในเขตละติจูดสูง ซึ่งก็คือ บริเวณขั้วโลกที่มีอุณหภูมิต่ำ อากาศหนาวเย็น  นั่นทำให้แสงออโรราไม่ได้มีแค่ในซีกโลกเหนือ แต่ยังสามารถเกิดขึ้นในซีกโลกใต้ได้ด้วย เรียกว่า “แสงใต้” ปรากฏการณ์นี้คล้ายกันแสงเหนือ ซึ่งสามารถพบเห็นได้ในบริเวณออสเตรเลียตอนใต้ นิวซีแลนด์ และทวีปแอนตาร์กติกา แม้แสงใต้จะพบเห็นได้น้อยกว่าและไม่เป็นที่รู้จักเท่าแสงเหนือ แต่ก็มีความงดงามและน่าทึ่งไม่แพ้กัน แสงใต้นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปชมแสงใต้ก็คือ ช่วงฤดูหนาวของทางซีกโลกใต้ นั่นคือประมาณเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน รูปร่างขแงแสงใต้ที่จะได้เห็นก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของสนามแม่เหล็กบนผิวโลก แต่รูปร่างที่พบบ่อยๆ มันจะเป็นลักษณะลำแสงชัดเจน ลักษณะเหมือนม่านหมอก ลักษณะเป็นแสงเรืองรองกระจายอยู่บนฟ้า แต่ไม่ว่าจะลักษณะไหนก็งดงามและควรค่าแก่การรับชม ชมกับที่ถูกขนานนามว่า “การเต้นรำของแสงสี” หรือ “การเริงระบำของจิตวิญญาณ”


4. น้ำตกเพลิงที่อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี สหรัฐอเมริกา
“น้ำตกเพลิง” หรือที่บางครั้งก็เรียกว่า “น้ำตกลาวา” เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติโยเชมิตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่จะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี น้ำตกเพลิงหรือน้ำตกลาวาที่ว่านี้ไม่ใช่ไฟหรือลาวาจริงๆ แต่เกิดขึ้นเพราะแสงสีส้มแดงส่องกระทบกับสายน้ำตก “ฮอร์สเทล” ตอนพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าในช่วงฤดูหนาว ทำให้ดูเหมือนมีลาวาไหลลงมาจากหน้าผาสูงที่มีความสูงประมาณ 470 เมตร แต่ปรากฏการณ์นี้ก็ใช่ว่าจะพบเห็นได้ทุกวันในช่วงนั้น เพราะน้ำตกเพลิงจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่เหมาะสม ทั้งการต้องมีปริมาณน้ำตกเพียงพอ โดยน้ำในช่วงนั้นจะเป็นน้ำที่เกิดจากหิมะละลาย ทำให้อีกปัจจัยที่สำคัญก็คืออุณหภูมิที่จะต้องสูงพอทำให้หิมะละลายกลายเป็นสายน้ำตกได้ และที่จะขาดไม่ได้ก็คือ ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกในตอนนั้นจะต้องโปร่งใสและมีแสงแดด เพราะหากมีเมฆปกคลุมและบังแสง ก็จะไม่เกิดแสงสะท้อนสีเพลิงที่น้ำตก ทั้งนี้ ปรากฏการณ์น้ำตกเพลิงจะเกิดขึ้นแค่ประมาณ 10 นาทีเท่านั้น หากคุณอยากไปสัมผัสน้ำตกเพลิงแห่งโยเซมิตีก็ต้องเช็กสภาพอากาศให้ดี สามารถสอบถามทางอุทยานได้ว่าปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อใดในปีนั้นๆ และที่สำคัญอย่าลืมตั้งกล้องรอให้เรียบร้อย จะได้ไม่พลาดในการเก็บภาพอันงดงามนี้เอาไว้ในความทรงจำ


5. การอพยพครั้งใหญ่ประจำปีที่อุทยานแห่งชาติมาไซมารา เคนยา
การอพยพครั้งใหญ่ที่ว่านี้ คือ การอพยพย้ายถิ่นของสัตว์นับล้านตัว โดยเฉพาะกลุ่มวิลเดอบีสต์ ม้าลาย และสัตว์กินพืชอื่นๆ ที่จะพากันเดินทางเป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตรเพื่อค้นหาทุ่งหญ้าและแหล่งน้ำแห่งใหม่ ซึ่งถือเป็นกระบวนการที่ท้าทายมากสำหรับเหล่าสัตว์ที่ว่า เพราะพวกมันจะต้องต่อสู้กับอุปสรรคทางธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การข้ามแม่น้ำที่เต็มไปด้วยจระเข้ การเผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์นักล่าที่รอสบโอกาสจับพวกมันกินเป็นอาหาร อีกทั้งพวกมันยังต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงให้ได้ ซึ่งปรากฏการณ์ที่ว่านี้จะเกิดขึ้นในเขตอุทยานแห่งชาติมาไซมารา ประเทศเคนยา ซึ่งมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ โดยการอพยพมักจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคมของทุกปี แต่เวลาก็อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและความอุดมสมบูรณ์ของอาหารและน้ำ หากคุณเป็นผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบซาฟารี การได้เห็นภาพของสัตว์ป่าจำนวนมหาศาล พร้อมทั้งได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเอาตัวรอดของสัตว์เหล่านี้ ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ตื่นเต้นและท้าทายที่สุดในชีวิตที่คุณควรหาโอกาสไปสัมผัสสักครั้ง

บทความที่เกี่ยวข้อง: Five Essential Gadgets for Modern Travelers

Get Exclusive Connections with LUXUO Thailand
Join us today
Connect!
Close
Join us for exclusive access to Luxuo Thailand's contents and events
Subscribe
close-image