ตามรอยรักและสัมผัสบรรยากาศโรแมนติกของภาพยนตร์ Before Sunset ในปารีส
บทความ: เนตรนภา ปะวะคัง ภาพเปิด: Shutterstock
Before Sunset หรือในชื่อไทยชื่อ ตะวันไม่สิ้นแสง แรงรักไม่จาง ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 2004 เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองของภาพยนตร์รักไตรภาค “Before” นำแสดงโดยอีธาน ฮอว์ก และฌูว์ลี แดลปี ว่าด้วยเรื่องราวการพบกันอีกครั้งที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ของเจสซี หนุ่มนักเขียนชาวอเมริกัน และเซลีน สาวฝรั่งเศส หลังจากที่เคยพบกันครั้งแรกและใช้เวลายามค่ำคืนร่วมกันที่กรุงเวียนนาใน Before Sunrise ภาพยนตร์ปฐมบทของไตรภาคซึ่งออกฉายในปี ค.ศ. 1995 ใน Before Sunset เจสซีและเซลีนได้มีโอกาสกลับมาพูดคุย อัพเดตชีวิตในช่วง 9 ปีที่พวกเขาไม่ได้เจอกัน ก่อนต้องแยกจากกันอีกครั้งก่อนอาทิตย์ตก และได้พบกันเป็นครั้งที่ 3 ใน Before Midnight ภาพยนตร์ปัจฉิมบทของตระกูล Before ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 2013
บทสนทนาระหว่างทางแสนเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของทั้งคู่ บวกกับภาพมหานครปารีสในมุมที่ดูอบอุ่นสามารถจับใจผู้ชม และทำให้ Before Sunset รวมถึงเรื่องอื่นๆ ในตระกูลนี้กลายเป็นภาพยนตร์โรแมนติกขึ้นหิ้ง อีกทั้งแต่ละสถานที่ของปารีสในฉากของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็กลายเป็นโลเคชั่นที่แฟนภาพยนตร์ไปตามรอยกันอยู่ไม่ขาดสาย หากคุณเป็นแฟนหนังตระกูล Before และมีโอกาสได้ไปเยือนปารีส เราว่าการทำมูฟวี่ทัวร์ตามรอยโลเคชั่นสำคัญใน Before Sunset ตามตัวอย่างโลเคชั่นที่เรายกมา ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าสนใจไม่น้อย
1. ร้านหนังสือ Shakespeare and Company
เรื่องราวของ Before Sunset เริ่มต้นขึ้นภายใน “ร้านหนังสือ Shakespeare and Company” บนถนนรู เดอ ลา บูเชอรี ริมแม่น้ำแซน เยื้องมหาวิหารนอเทรอ-ดาม ใจกลางปารีส ในฉากคืองานโปรโมตนิยายเล่มใหม่ของเจสซี่ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากค่ำคืนของเขากับเซลีนที่เวียนนาเมื่อ 9 ปีก่อน และ ณ ที่แห่งนี้เองที่เขาได้กลับมาพบกับเซลีนและสานต่อบทสนทนากันอีกครั้ง
Shakespeare and Company เป็นร้านขายหนังสือภาษาอังกฤษที่ได้ชื่อว่าดังที่สุดในปารีส เปิดเมื่อปี ค.ศ. 1951 โดยชายชาวอเมริกันนามว่า จอร์จ วิทแมน ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมยุคต้นศตวรรษ 17 เดิมชื่อร้าน Le Mistral (เลอ มิสตรัล) ก่อนที่จอร์จจะเปลี่ยนเป็นร้าน Shakespeare and Company เมื่อปี ค.ศ. 1964 เพื่อเป็นเกียรติแก่ซิลเวีย บีช นักเขียนคนโปรดของเขาและผู้ก่อตั้งร้าน Shakespeare and Company ดั้งเดิมบนถนนรู เดอ โลดียง ร้าน Shakespeare and Company ของจอร์จกลายเป็นที่ชุมนุมของนักอ่านและนักเขียนหนังสือภาษาอังกฤษ ทั้งยังเปิดให้เหล่านักเขียน ศิลปิน และปัญญาชนที่เดินทางมาปารีสสามารถพักค้างคืนได้ฟรี ซึ่งที่ผ่านมาก็มีผู้เคยเข้าพักที่นี่แล้วหลายหมื่นคน รวมถึงอีธาน ฮอว์ก พระเอกของเรื่องซึ่งควบตำแหน่งผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับฌูว์ลี แดลปี นางเอกของเรื่อง
2. ถนนปูหินสุดคลาสสิก
เจสซีและเซลีนตัดสินใจไปนั่งคุยกันต่อที่คาเฟ่แห่งหนึ่งซึ่งต้องใช้เวลาเดินจากร้านหนังสือไปพักใหญ่ เซลีนในฐานะเจ้าถิ่นพาเจสซีเดินลัดเลาะผ่านถนนปูหินตั้งแต่ยุคโรมันหลายสายที่มีทั้งร้านค้า คาเฟ่สวยๆ สวนอันร่มรื่น และสถาปัตยกรรมโบราณมากมาย ดูคลาสสิกและมีมนต์ขลังสมกับเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เส้นทางของทั้งคู่เริ่มจากรูแซงต์จูเลียงเลอโปฟ (Rue Saint Julien le Pauvre) ถนนที่เป็นที่ตั้งของวิหารคาทอลิกชื่อเดียวกัน หนึ่งในวิหารเก่าแก่ที่สุดของปารีสซึ่งควรค่าแก่การแวะชม จากนั้นจึงเดินผ่านถนนคนเดินสายแคบๆ ชื่อ รูกาลองด์ (Rue Galande) ที่มีไฮไลต์อย่างประติมากรรมนูนต่ำของนักบุญจูเลียงตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 บนฟาซาดของอาคารเลขที่ 42 (โรงภาพยนตร์ Studio Galande) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นป้ายที่เก่าแก่ที่สุดในปารีส
จากรูกาลองด์ตัดภาพมาอีกทีทั้งคู่ก็ข้ามแม่น้ำแซน เดินผ่านรูเดอลาเวมารีอา (Rue de l’ Ave Maria) ไปโผล่ที่รูเดจาร์แดงส์แซงต์-ปอล (Rue Des Jardins Saint-Paul) ในเลอมาเรส์ ย่านสุดชิคที่รู้จักกันในนามโซโฮแห่งปารีส ซึ่งสามารถมองเห็นโบสถ์แซงต์-ปอล-แซงต์-หลุยส์ได้อย่างชัดเจน ก่อนจะจึงเลี้ยวขวาเดินผ่านรูชาร์เลอมาญ (Rue Charlemagne) เข้าสู่รูเอจีนารด์ (Rue Eginhard) และรูแซงต์-ปอล ลัดเลาะไปอีกสักพักก็ถึงคาเฟ่เป้าหมายที่ชื่อว่าเลอปูร์กาเฟที่ถนนรูจองมาเซ
3. เลอปูร์กาเฟ (Le Pure Café)
เมื่อเดินถึง “เลอปูร์กาเฟ” ที่หัวมุมถนนจองมาเซแล้ว เจสซีและเซลีนก็เข้าไปนั่งคุยกันต่อภายในร้านจนได้พบว่าพวกเขาทั้งคู่เคยใช้ชีวิตที่นิวยอร์กในช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกัน ซึ่งก็ไม่รู้จะเรียกความบังเอิญนี้ว่าพรหมลิขิตหรือตลกร้ายดี เพราะสุดท้าย ทั้งคู่ก็ไม่เคยได้เจอกันเลยตลอดช่วงที่อยู่ที่นั่น
มาพูดถึงเลอปูร์กาเฟกันบ้าง มองจากภายนอก คุณจะเห็นคาเฟ่ผนังสีแดงตัดกับป้ายชื่อร้านสีน้ำเงินและประตูหน้าต่างกระจกบานใหญ่ขอบเป็นไม้ที่สีคล้ำลงตามกาลเวลา แต่เมื่อเดินเข้าไปในร้าน คุณจะได้เจอกับบรรยากาศที่แตกต่างจากภายนอก ด้านในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ รวมถึงบาร์เครื่องดื่มแบบไอส์แลนด์ที่อยู่กลางร้าน เสาและฝ้าเพดานเป็นสไตล์โกธิคที่ได้รับความนิยมในช่วงต้นศริสต์ศตวรรษที่ 20 ทั้งนี้ เลอปูร์กาเฟเปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ยาวไปจนถึงตอนดึก อาหารที่เสิร์ฟมีทั้งเมนูฝรั่งเศสมาตรฐานและเมนูนานาชาติอื่นๆ ตลอดจนเครื่องดื่มหลากหลาย เช่น กาแฟ คอกเทล หากคุณอยากนั่งชิลพร้อมเสพวิวสวยๆ ของปารีสก็สามารถเลือกนั่งที่โต๊ะและเก้าอี้เอ้าท์ดอร์บริเวณหน้าร้านได้
4. สวยลอยฟ้าคูเลแวต์เรอเนดูมงต์ (Coulée Verte René-Dumont)
หลังจากนั่งจิบกาแฟและพูดคุยกันในเลอปูร์กาเฟสักพัก เจสซียังมีเวลาเหลือ ทั้งคู่เลยตัดสินใจไปเดินชมปารีสกันต่อ เซลีนพาเจสซีเดินลงมาทางใต้เพื่อไปที่ “คูเลแวต์เรอเนดูมงต์” หรือที่เรียกว่า “โพรเมอนาดพลองเต้” สวนลอยฟ้าที่สูงจากพื้นดินประมาณ 10 เมตร มีความยาวกว่า 4.7 กิโลเมตร เริ่มต้นจากด้านหลังโรงอุปรากรบาสตีย์ไปสิ้นสุดที่ปอร์เต-ดูรี แต่เดิมสวนแห่งนี้เป็นรางรถไฟเก่าสำหรับเดินรถไฟบรรทุกสินค้าที่เชื่อมต่อกับตัวสถานีรถไฟบาสตีย์ ก่อนที่ตัวสถานีจะถูกเปลี่ยนเป็นโรงอุปการบาสตีย์และรางรถไฟแห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นสวนสาธารณะไว้ให้ผู้คนนั่งเล่น เดินเล่น วิ่งจ๊อกกิ้ง และสัญจรไปมา
ตลอดระยะทางของสวนแห่งนี้ คุณจะได้พบบรรยากาศที่หลากหลาย ทั้งตึกที่อยู่อาศัยสไตล์โมเดิร์น งานกราฟิตี้สีสันสดใสมากมายที่สร้างสรรค์โดยศิลปินสตรีทอาร์ต มีซุ้มประตูโค้งราวกับอยู่ในเทพนิยายให้เดินลอดผ่านเป็นระยะ รวมถึงสวนหลากสไตล์ เช่น สวนสไตล์อังกฤษ สวนสไตล์ญี่ปุ่นที่มีต้นซากุระและซุ้มต้นไผ่ บางช่วงก็เป็นสะพานโล่งๆ ให้สามารถมองดูวิวทั้งมุมล่างและมุมสูงได้อย่างเต็มที่ สวยลอยฟ้าคูเลแวต์เรอเนดูมงต์มีลิฟต์ให้บริการ จึงถือเป็นสถานที่พักผ่อนที่เหมาะกับทุกคนในครอบครัว
5. ท่าเรือเก เดอ ลา ตูร์แนล (Quai de la Tournelle)
เซลีนชวนเจสซีเดินจากสวนลอยฟ้ากลับไปที่ร้านหนังสือเพราะกลัวเขาจะไม่ทันไฟลท์บิน แต่ขณะที่เดินเลียบแม่น้ำแซนผ่าน “ท่าเรือเกเดอ ลาตรูแนล” จู่ๆ เจสซีก็ชวนเซลีนขึ้นเรือเพื่อไปลงที่ “ท่าเกอ็องรีกัทร์ (Quai Henri IV)” และนัดหมายให้คนขับรถมารับเขาที่นั่นเพื่อไปยังสนามบิน แม้ระยะทางระหว่างสองท่าเรือนี้จะไม่ไกลนัก แต่วิวที่ได้เห็นก็งดงามสะกดตา โดยเฉพาะมหาวิหารนอเทรอ-ดาม สัญลักษณ์สำคัญของกรุงปารีส และหนึ่งในสถาปัตยกรรมล้ำค่าของโลก ทั้งนี้ มหาวิหารนอเทรอ-ดามพร้อมเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความงดงามภายในได้อีกครั้งในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2024 หลังจากที่ต้องปิดเพื่อบรูณะซ่อมแซมเนื่องจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ใหญ่เมื่อเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 2019 สำหรับการล่องเรือชมแม่น้ำแซนนั้นก็มีให้บริการหลายเจ้า โดยจะมีเส้นทาง ระยะเวลา และค่าบริการแตกต่างกันไป รวมถึงมีแพคเกจแบบรวมการรับประทานอาหารบนเรือด้วย หากคุณสนใจก็สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อแต่ละบริษัทได้เลย
6. กูร์เดอเลตวลดอร์ (Cour de l’Étoile d’Or)
การพบกันของเจสซีและเซลีนน่าจะจบลงที่ท่าเกอ็องรีกัทร์ในช่วงอาทิตย์ใกล้ตก จุดที่เจสซีนัดหมายให้คนขับรถมารับไปส่งที่สนามบิน แต่ก่อนจะไปสนามบิน เจสซีก็อาสาไปส่งเซลีนที่อพาร์ตเมนต์ของเธอบนถนนรูเดอฟาบูรก์แซง-ตองตวน โลเคชั่นสุดท้ายที่เราได้เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้
โลเคชั่นที่เป็นอพาร์ตเมนต์ของเซลีนในเรื่องก็คืออพาร์ตเมนต์ชื่อ “กูร์เดอเลตวลดอร์” ลักษณะเป็นคอร์ทยาร์ดอพาร์ตเมนต์ที่บริเวณทางเข้ามีต้นไม้สีเขียวขจี มีลานส่วนกลางที่โอบล้อมด้วยตัวอาคารที่พัก ซึ่งผู้พักอาศัยสามารถมาทำกิจกรรมหรือสังสรรค์ที่ลานส่วนกลางนี้ได้ อย่างในเรื่อง ก็จะเห็นว่าเพื่อนร่วมอพาร์ตเมนต์ของเซลีนกำลังปาร์ตี้บาร์บีคิวและดินเนอร์ร่วมกัน ให้ความรู้สึกอบอุ่นน่าอยู่อาศัยอย่างมาก
บทความที่เกี่ยวข้อง: 3 Reasons Why Paris is called ‘The City of Love’