สัมผัสเสน่ห์อาหารไทย 4 ภาคในสไตล์เทสติ้ง เซ็ต ที่ห้องอาหาร Front Room โรงแรม Waldorf Astoria Bangkok
บทความ: เนตรนภา ปะวะคัง ภาพ: The Front Room
เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทาง Luxuo Thailand ได้มีโอกาสไปลิ้มลองอาหารไทยเมนูใหม่ที่ห้องอาหารสไตล์โมเดิร์นไทย Front Room ของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok โดยความพิเศษในครั้งนี้ นอกจากจะอยู่ที่หน้าตาสุดครีเอทและรสชาติอันจัดจ้านของอาหารแล้ว ก็น่าจะเป็นการนำเสนอเสน่ห์ของอาหารไทยในรูปแบบเทสติ้ง เซ็ต ที่มอบทั้งความอิ่มท้อง อิ่มตา และอิ่มใจ เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์การรับประทานอาหารไทยรูปแบบใหม่ที่น่าประทับใจจนต้องนำมาบอกต่อ
เชฟปั้น อัคควินท์ ปิตรชาต หัวหน้าทีมครัว และเชฟอธิติ ม่วงทอง หรือเชฟอ้น รองหัวหน้าทีมครัว ต้องการพาทุกท่านเดินทางไปสัมผัสประเพณี วัฒนธรรม และวิถีความเป็นไทยผ่านเทสติ้ง เซ็ตอาหารไทย 4 ภาค ได้แก่ เหนือ กลาง อีสาน ใต้ โดยนำวัตถุดิบพรีเมียมจากทั้งในไทยและต่างประเทศมาผ่านกรรมวิธีการประกอบอาหารทั้งแบบดั้งเดิมและแบบตะวันตก และหน้าตาของหลายๆ เมนูก็ดูแปลกตาไปจากที่เราเคยเห็น แต่ยังคงความเข้มข้นจัดจ้านแบบไทยแท้ๆ ขนาดที่ว่าพอได้ลิ้มรสแล้วหลายๆ คนรวมถึงเราเองก็รู้สึกเซอร์ไพรส์ไม่น้อยที่ห้องอาหารของโรงแรมสัญชาติอเมริกันแห่งนี้จะทำอาหารไทยได้ถึงเครื่องแบบนี้
เทสติ้ง เซ็ตในครั้งนี้จะมีด้วยกันทั้งหมด 11 เมนู แบ่งเป็น 4 คอร์สซึ่งในที่นี้จะเรียกว่า Chapter (แชปเตอร์) ได้แก่ Chapter 1: The Geography, Chapter 2: The Innovation, Chapter 3: Poetic Flavors และ Chapter 4: Thai Way of Life ซึ่งแต่ละคอร์สก็มีการแพริ่งกับเครื่องดื่มด้วย แต่ก่อนจะเริ่มคอร์สแรก ที่นี่จะเสิร์ฟข้าวเกรียบกุยช่ายที่ทอดมาแบบบางกรอบ ยิ่งพอราดน้ำจิ้มซีอิ๊วดำที่มีรสเผ็ดนิดๆ ลงไป เผลอแป๊บเดียวข้าวเกรียบกุยช่ายก็หมดจาน หากไม่ติดว่ายังมีอาหารอื่นๆ รออยู่ อาจได้ขอเบิ้ลอีกหลายชิ้น
เข้าสู่แชปเตอร์ที่ 1 “The Geography” จะเป็นของกินเล่น 4 เมนูที่เสิร์ฟมาแบบฟิงเกอร์ ซึ่งสะท้อนถึงความแตกต่างของลักษณะภูมิประเทศในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรืออีสาน และภาคใต้ ที่ส่งผลให้แต่ละภาคมีวัตถุดิบในการประกอบอาหารที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป โดย 4 เมนูที่ว่าได้แก่ อ่องปูจากภาคเหนือที่เชฟนำมันปูมาผสมกับข้าวและเนื้อปูแล้วเสิร์ฟในกระดองปูนา เมี่ยงปลาแห้งผลไม้เสิร์ฟบนทาร์ตใบชะพูลจากภาคกลางที่รับประทานแล้วสดชื่น ลาบเนื้อสไตล์อีสานรสชาติแซบที่เสิร์ฟบนเอ็นวัวทอดกรอบ และกุ้งทอดใบเล็บครุฑจากภาคใต้ที่ได้กลิ่นเครื่องเทศหอมๆ ซึ่งเป็นการเรียกน้ำย่อย เปิดต่อมรับรส และต่อมรับกลิ่นได้ดีเลยทีเดียว
สำหรับแชปเตอร์ที่ 2 “The Innovation” ที่บอกเล่าเรื่องราวของความสมัยใหม่ของเมืองหลวงของไทยอย่างกรุงเทพมหานครที่ซึ่งวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกหลอมหลวมและไหลเวียนอยู่ทั่วทุกที่ โดยเชฟปั้นจะเสิร์ฟซุปปลาบู่ต้มขิงและไส้กรอกอีสานเป็ดที่นำด้วยเนื้อเป็ดหมักที่เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่างหนังเป็ดทอดกรอบ ถั่วลิสงอบ หัวหอมแดงซอย ขิงหั่นเต๋า พริกขี้หนู และมะนาวหั่นเต๋า สำหรับคอร์สนี้เราขอเน้นที่ตัวซุปปลาบู่ต้มขิงซึ่งผ่านกรรมวิธีประกอบอาหารแบบตะวันออกอย่างการโพชหรือการต้มจนสุกแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ได้เนื้อปลาที่ไม่แข็งจนเกินไป ขนาดเราที่ไม่คุ้นชินกับน้ำขิงและปลาบู่เท่าไหร่นัก พอได้ตักเนื้อปลาบู่พร้อมน้ำซุปเข้าปาก รู้ตัวอีกทีซุปปลาบู่ต้มขิงของเราก็หมดถ้วยแล้ว เพราะเนื้อปลานุ่มเด้งพอดี แถมซุปก็หอมขิงอ่อนๆ ซดง่าย รับประทานแล้วรู้สึกสดชื่น
มาถึงเมนคอร์สอย่าง แชปเตอร์ที่ 3 “Poetic Flavors” ที่นำเสนอเอกลักษณ์ของสำรับอาหารไทยซึ่งมักประกอบไปด้วยอาหารหลายชนิดที่มีรสชาติเด่นแตกต่างกัน แต่เมื่อรับประทานด้วยกันแล้วกลับส่งเสริมและเข้ากันได้เป็นอย่างดี ทำให้มื้ออาหารของคนไทยเป็นมื้อที่ครบรสทั้งเปรี้ยวหวานมันเค็ม โดยอาหารในคอร์สนี้จะประกอบไปด้วยกุ้งแม่น้ำย่างพร้อมน้ำจิ้มมะพร้าวคั่ว แกงเผ็ดใต้ปูใส่ใบเหลียง เนื้อแก้มวัววากิวย่าง น้ำพริกตาแดง และไข่ดองพริกน้ำปลา เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยหรือข้าวมัน หากใครเลือกไม่ได้ แนะนำให้ลองทั้งสองข้าว สำหรับใครที่ไม่รับประทานเนื้อวัว ในวันที่เราไปทดลองเซ็ตนี้ ทางโรงแรมจะเสิร์ฟเป็นไก่ย่างแทน อย่างไรแนะนำให้สอบถามทางห้องอาหารอีกที
เมนคอร์สผ่านไป ยังเหลืออีกหนึ่งคอร์สสุดท้าย นั่นก็คือ แชปเตอร์ที่ 4 “Thai Way of Life” คอร์สของหวานไทยอย่างส้มฉุนและขนมโคที่เชฟอ้นนำเสนอผ่านศิลปะการต่อสู้ประจำชาติที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่างมวยไทย ตังเมกรอบหรือขนมไม้ในความทรงจำของใครหลายคนถูกนำมาล้อมเป็นเวทีมวย ตรงกลางเป็นถ้วยขนมโคน้ำกะทิสีขาวดำ ให้อารมณ์เหมือนนักมวยสองคนกำลังสู้กันอยู่บนสังเวียน ข้างๆ เป็นส้มฉุน ของว่างโบราณที่ทำจากผลไม้รสเปรี้ยว ปกติลักษณะจะใกล้เคียงกับลอยแก้ว แต่ส้มฉุนในครั้งนี้มาในรูปแบบซอร์เบท ขึ้นรูปเป็นรูปนวม แล้วเคลือบด้วยไวท์ชอคโกแลต เสิร์ฟพร้อมหอมแดงเจียว ถือเป็นการปิดคอร์สได้อย่างสมบูรณ์แบบและอิ่มสุดๆ
อาหารไทยสไตล์เทสติ้ง เซ็ตสุดสร้างสรรค์ของเชฟปั้นและเชฟอ้นเซ็ตนี้พร้อมเสิร์ฟแล้วที่ห้องอาหาร Front Room โรงแรม Waldorf Astoria Bangkok ในเวลา 17:30 – 22:00 น. ในราคา 2,900++ / ท่าน / เซต (ราคานี้เฉพาะอาหาร) สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-846-8888 และที่อีเมล bkkwa.fb@waldorfastoria.com
บทความที่เกี่ยวข้อง: Five Bangkok Photo Checkpoints for Tourists