คุณบอย ถกลเกียรติ และคุณปริม กณิการ์ วีรวรรณกับมุมมองที่มีต่อความเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยนี้ และความสำคัญแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์
บทความ: LuxuoTH ภาพ: พณพิสุทธิ์ ปีเจริญ วีดีโอ: ไทยคม สุขตลอดชีพ และ ธีรภัทร รัตนกุลชัยนันท์
กองบรรณาธิการของเรามีโจทย์ในใจว่าบทความ Cover Story แรกของปี ค.ศ. 2024 จะต้องเป็นเรื่องของกระแสความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในโลกซึ่งส่งผลต่อแง่มุมต่างๆ ของชีวิตคน ดังนั้นบุคคลที่เหมาะสมจะมาเป็นแขกรับเชิญให้กับเรานั้นจะต้องเป็นคนที่ไม่เพียงมีประสบการณ์ผ่านช่วงเวลาต่างๆ มาเท่านั้น แต่จะต้องเป็นคนที่พบปะกับผู้คนในหลากหลายวงการอยู่เสมอ และเราก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเมื่อคุณบอย ถกลเกียรติ และคุณปริม กณิการ์ วีรวรรณตอบตกลงให้เราสัมภาษณ์ในฐานะผู้บริหารและผู้นำธุรกิจ ในฐานะคุณพ่อคุณแม่ และในฐานะผู้ที่มีวิสัยทัศน์ที่จำเป็นต่อการนำคนรุ่นใหม่ให้ก้าวผ่านกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพรวมการทำงานของคุณบอยในปีที่แล้วเป็นอย่างไร คุณบอยรู้สึกภูมิใจเรื่องอะไรเป็นโปรเจคใดเป็นพิเศษครับ
โดยรวมของปีที่แล้ว ด้วยความไม่แน่นอน ไม่สเตเบิลต่างๆ ทั้งในเศรษฐกิจ เรื่องที่เกิดขึ้นในสังคม ในโลกต่างๆ ก็ดี การที่เราสามารถทำงานให้ออกมาได้ขนาดนี้และได้ผลที่น่าพอใจขนาดนี้ ผมคิดว่ามันดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็น The One Enterprise ที่มีทั้งช่อง One31 มีทั้ง GMMTV มี Change มีอะไรต่างๆ รวมไปถึงละครเวทีเมืองไทยรัชดาลัย มีทั้งสามเรื่อง เริ่มตั้งแต่พิษสวาท วอเตอร์ฟอล และแฟนฉัน เหมือนกับว่าได้นำสิ่งเหล่านี้กลับมา หลังจากวิกฤตการณ์โควิด 2-3 ปีได้ ทุกสิ่งทุกอย่างแน่นอนแหละว่ามันไม่เหมือนเดิม แต่เราสามารถที่จะเรียนรู้กับมัน เห็นความเปลี่ยนแปลง แล้วก็ยังสามารถที่จะทำงานต่างๆ มาปรับให้สอดคล้องกับความนิวนอร์มอลได้
ผู้ชมละครเวทีในวันนี้คือผู้ชมละครเวทีในวันก่อนที่มีอายุมากขึ้นเป็นหลัก หรือว่าเรามีผู้ชมละครเวทีรุ่นใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในอัตราที่เทียบเท่าได้กับประเทศอื่นๆ ในโลกครับ
ผมว่ามันมิกซ์นะครับ คนเดิมก็กลับมาดูเยอะ ถ้าผู้ใหญ่หน่อยก็อาจจะมีความกลัวหรือไม่กล้าในเรื่องของโควิด ซึ่งจริงๆ ตอนนี้มันเป็นนิวนอร์มอลไปแล้ว ในขณะเดียวกันก็ได้คนรุ่นใหม่ด้วย คนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยดูละครเวที ไม่เคยดูมิวซิคอลก็เข้ามารับชมกันเป็นครั้งแรกก็มีด้วย
ดีไวซ์ แพลทฟอร์มและการเชื่อมต่อทำให้คนเข้าถึงสิ่งที่ตนเองสนใจได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีสิ่งต่างๆ คอยแย่งความสนใจของคน คุณบอยมองเรื่องนี้อย่างไรครับ
ถ้าเรามองว่ามันเป็นอุปสรรค มันก็จะเป็นอุปสรรค ถ้าเรามองว่ามันเป็นโอกาส มันก็จะเป็นโอกาส แน่นอนมันไม่เหมือนเดิมแหละ แต่ว่าถ้าเรามองว่ามันเป็นโอกาส เราสามารถทำอะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นได้มากขึ้น จากที่เมื่อก่อนนี้เราถูกลิมิตแล้ว อันนี้ทำไม่ได้ อันนี้ทำไม่ได้ แต่ตอนนี้พอมันมีช่องทางที่มันสามารถที่จะทาร์เก็ตไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น เราก็ต้องรู้ว่าแต่ละกลุ่มเขาดูอะไรจากไหน แล้วเราก็ทำคอนเทนท์ไปถึงกลุ่มตรงนั้นให้ได้ตรงที่สุด จากที่เมื่อก่อนนี้ทุกอย่างเรียกว่าต้องซุปเปอร์แมส อย่างเราจะทำทีวี ทุกอย่างก็ต้องเป็นซุปเปอร์แมส เพื่อที่จะได้เรทติ้ง สไตล์ วิธีการ หรือคอนเทนท์เองก็จะถูกลิมิตมาก อะไรที่มันใหม่ๆ หน่อย บางทีคนส่วนใหญ่ก็จะรับไม่ได้ แต่พอมา พ.ศ. นี้ มันแล้วแต่ทาร์เก็ตเลย ดังนั้นเราก็ต้องรู้ว่าทาร์เก็ตเราดูอะไร ที่ไหน เมื่อไร กลายเป็นว่าทำให้เรามีโอกาสที่จะทำอะไรที่มันแปลกใหม่ขึ้นมาได้ หรือถ้าเมื่อก่อนนี้ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ตอนนี้ทำได้แล้ว มันก็สนุกขึ้น
คุณบอยมองว่าความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เห็นในวงการบันเทิงและการแสดงในปัจจุบันนี้คืออะไร
หลักใหญ่ใจความเลยคือ คนเปลี่ยน วิธีคิดคนเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ผู้คนสู้มากขึ้นจากเมื่อก่อน เพราะฉะนั้นคาร์แรคเตอร์ของตัวละครที่เราทำก็ต้องทำให้แมทช์กับคนดู พ.ศ. นี้ เมื่อก่อนนี้นางเอกร้องไห้บ่อยได้ แล้วคนก็สงสารแล้วก็ไม่ทำอะไร พระเอกก็ยืนหล่อๆ นิ่งๆ ไป เป็นคนดี เดี๋ยวจะดีเอง สมัยนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าคุณจะต้องได้อะไรมา คุณต้องทำ คุณต้องหาโอกาส คุณต้องทำให้มันได้ คุณถึงจะดีเซิร์ฟ เพราะฉะนั้น คนจะสู้มากขึ้น มาร้องไห้อย่างเดียว ทุกคนก็จะแบบเรื่องของคุณ เขาก็ไม่ตามคุณ พอเราเข้าใจคนดูมากขึ้นแล้ว มันก็ต้องทำให้คนดูปัจจุบันดู แต่ในขณะเดียวกันเราก็จะต้องบาลานซ์เพราะอะเกรสซีฟเกินไปคนก็ไม่รับ เพราะฉะนั้น พื้นฐาน รากฐานของความดีงามของมนุษย์มันยังต้องมีอยู่
ในฐานะที่คุณบอยเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ที่มีบริษัทย่อยมากมายและทำงานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ คุณบอยมีความคิดเห็นเรื่องการใช้ AI ในการทำงานอย่างไรบ้าง
เทคโนโลยีกับความเป็นมนุษย์มันต้องบาลานซ์กันอยู่ดี เพราะว่าพอเทคโนโลยีมันพัฒนามากขึ้นๆ ชีวิตเรามันอาจจะง่ายขึ้นในหลายๆ อย่าง ตั้งแต่อินเตอร์เน็ตมา เอนไซโคลพีเดียก็ไม่ต้องมีแล้ว อยากรู้อะไรก็ Google ไป แต่ก็ไม่รู้ว่าอันไหนเชื่อถือได้ อันไหนเชื่อถือไม่ได้ พอไปถึง AI ผมคิดว่าในหลายๆ วงการมันก็ดีของมัน มันก็จะมีความละเอียดมากขึ้นและก็เป๊ะมากขึ้น อย่างวงการแพทย์หรือโรงงาน แต่ว่าในวงการบันเทิง มันก็ต้องดูว่าเอามาใช้กับอะไรบ้าง คือถ้าเผื่อสุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในจอเป็น AI หมดเลย ไม่มีมนุษย์จริงๆ ผมคิดว่ามันก็น่ากลัวอยู่นะ
แต่อย่างไรเสีย จิตวิญญาณมันเป็นเรื่องสำคัญ คุณอาจจะเห็นวิชวลที่ทั้งสวยทั้งหล่อทั้งเป๊ะ เสียงก็เพราะหมด แต่จิตวิญญาณได้หรือเปล่า อันนี้ก็ต้องมาดูกัน ซึ่งผมคิดว่าอย่างไรเสียมนุษย์ก็คือมนุษย์ สุดท้ายแล้วจิตวิญญาณของมนุษย์ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้ และแต่ละคนก็มีจิตวิญญาณที่แตกต่างกันออกไป ความยูนิคเนสของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน อันนั้นคือสิ่งที่ดี ผมเคยเจอนักแสดงหลายๆ คนที่พยายามจะเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสท์ทั้งในเรื่องการแสดงหรือการร้องเพลงก็ดี ผมก็จะบอกว่าอย่า อย่าเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสท์ในเรื่องของการแสดง เพราะเพอร์เฟคชั่นนิสท์ คือหุ่นยนต์ แล้วมันจะไม่มีเสน่ห์
เสน่ห์ของมนุษย์คือความไม่สมบูรณ์ มันจะต้องมีอะไรนิดหนึ่ง แล้วตรงนั้นแหละที่จะเป็นจุดเด่นของเรา มันต้องดูภาพรวม ความรวมทั้งหมด ถ้าร้องเพลงก็เป๊ะ การแสดงก็เป๊ะทุกสิ่งอย่าง บางทีมันก็แข็งเกิน แล้วมันไม่มีอะไรที่จะมาเซอร์ไพรส์คนดูแบบว่า อ้อ อย่างนี้ก็ได้เหรอ เพราะว่ามันก็จะเป๊ะไปหมด
คุณปริมได้เห็นทุกงานที่คุณบอยทำ และเป็นบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ คุณปริมได้เห็นทั้งคนที่ทำงานร่วมกับคุณบอย และได้เห็นคนที่มาชมผลงานของคุณบอย คุณปริมรู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยที่ชัดเจนที่สุดคืออะไรครับ
พอเทคโนโลยีเข้ามา โดยเฉพาะมือถือ สิ่งที่เห็นชัดมากคือ ความอดทนของคนน้อยลงในความรู้สึกปริม ทุกอย่างมันมาเร็ว มาไว และเราคาดหวังที่จะได้รับคำตอบเร็วที่สุด สังเกตง่ายๆ เวลาเรา LINE หาใคร เราก็คาดหวังว่าเขาจะตอบเราทันที เราก็จะหงุดหงิดกับการที่เขาหายไปเลย ไม่ตอบเราสักที ความอดทนเราก็ลดลงแล้ว แล้วเราก็คิดไปเองว่าพอเรา LINE ไปปุ๊บ เขาจะรับรู้ในสิ่งที่เราส่งไป แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราไปคิดเอาเอง คาดหวังเอาเอง แล้วเราก็หงุดหงิดเอง วิถีชีวิต แนวความคิดคนก็เปลี่ยนไปจากสิ่งเหล่านี้เลย
ถ้าย้อนกลับมาสมัยก่อน ตอนปริมเองสมัยที่ยังเรียนหนังสือ ส่งจดหมายไปต่างประเทศ ฝั่งโน้นกว่าจะได้รับหนึ่งสัปดาห์ คำถามที่เราเขียนหาเขา เขาตอบกลับมาใช้เวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ กว่าจะมาถึงเรา มันกินเวลามาก สองสัปดาห์กว่าจะได้รับคำตอบ แต่มันเป็นเสน่ห์มาก เสน่ห์ในการรอ แล้วจดหมายมา กว่าเราจะเปิด กว่าเราจะแกะ กว่าเราจะอ่าน แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้ว มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบกับทุกคนจริงๆ
งานด้านการพัฒนาบุคลิกภาพของคุณปริมทำให้คุณปริมได้พบเจอกับผู้คนหลากหลายวัย และเป็นงานที่เปิดให้มีการสื่อสารแบบสองทางอย่างต่อเนื่อง คุณปริมรู้สึกว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่คนรุ่นก่อนให้ความสำคัญมากๆ และคนรุ่นใหม่ส่วนมากเลือกที่จะไม่สนใจอย่างเห็นได้ชัดจนเกิดความขัดแย้งกัน
แน่นอนปริมว่าทุกบ้านก็มีปัญหามากก็คือเวลาที่ทุกคนนั่งทานอาหารกัน แล้วคนในโต๊ะควักมือถือขึ้นมาเล่น ทุกบ้านแน่นอน พ่อแม่จะต้องพูดว่าให้วางมือถือ ถ้าเราคิดถึงพื้นฐานในการที่เราเป็นสัตว์สังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ รอบข้าง การที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับเขาเป็นการให้เกียรติเขา เรานั่งกันอยู่สี่คนในโต๊ะ ทุกคนนั่งก้มหน้า มีคนหนึ่งที่นั่งรอที่จะคุยกับคนอื่น ข้างๆ เขาไม่ทันคิดหรอกว่าการที่เขาเล่นมือถือมันเหมือนเขาไม่ให้เกียรติอีกคนหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น
ความที่เดี๋ยวนี้คนมีมือถือก็จะอยู่กับตัวเอง อยู่ในห้อง นั่งแชท ดู Netflix การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมันต้องใช้การฝึกฝน เราจะพูดจาเข้าหูคนอื่นได้เราต้องฝึกพูด ไม่ใช่การฝึกออกเสียง แต่หมายถึงว่าเป็นการฝึกระดับในการพูดของเรา ขอบคุณค่ะ ขอบพระคุณค่ะ ขอบใจนะจ๊ะ มันมีเลเวลของมัน ถ้าเราไม่เคยเจอะเจอผู้อื่น เราจะไม่รู้เลยว่าเราจะใช้คำพูดคำไหน น้ำเสียงที่แสดงออก ความดัง ความเบา การทอดเสียง มันมีผลหมดเลย แล้วอย่างที่คุณบอยบอกว่าต้องมีบาลานซ์ มนุษย์มีชีวิตจิตใจ เราไม่สามารถบอกหรือบังคับใครได้ว่า ถ้าฉันพูดประโยคนี้ไป ฉันคาดหวังให้เธอรู้สึกอย่างไร ในคำพูดเดียวกัน
คุณปริมมีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับการที่ผู้คนในสังคมชอบพูดกันว่าปริญญาบัตรไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว คิดว่ามันคือประโยคที่พูดกันแบบประชดประชัน หรือว่ามันคือสิ่งที่วัยรุ่นจำนวนมากคิดจริงๆ
มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับคนพูดและคนฟัง บางคนพูดเพื่อเป็นข้อแก้ตัวให้ตัวเอง ในขณะที่เราอย่าไปมองว่าผลสุดท้ายของมันคือตัวปริญญา ถ้าเราให้ค่ากับสิ่งสุดท้าย วัตถุสุดท้าย โดยที่เราไม่ให้คะแนนระหว่างทางเลย ปริมคิดว่าไม่น่าจะใช่วิธีที่เราให้ค่าอะไร การที่คุณจะได้ปริญญามา คุณตั้งใจเรียนหรือเปล่า คุณต้องต่อสู้เพื่อจะให้ได้สิ่งนั้นมาหรือเปล่า คนที่ได้ปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง คุณคิดว่าเขาทำงานหนักไหม หรือเขานั่งอยู่เฉยๆ แล้วได้เหรอ มันก็ไม่ใช่ แต่ถามว่าปริญญาเป็นคำตอบสุดท้ายของชีวิตไหม ก็ไม่ใช่ การที่คุณได้ปริญญามาก็ไม่ได้บอกว่าคุณจะประสบความสำเร็จ คุณอาจจะทำงานกับใครไม่เป็นเลยก็ได้ นั่งท่องแต่ตำรา เพราะฉะนั้นปริมถึงบอกว่ากระบวนการระหว่างทางนี่แหละมันถึงมีความหมายมากกว่าสิ่งสุดท้าย
ปริมคุยกับลูก ลูกกลับพูดอีกมุมหนึ่งนะคะ เขาบอกว่าคะแนนเขาไม่ดี แล้วอย่างนี้อีกหน่อยเขาจะได้งานดีๆ ได้อย่างไร ตรงกันข้ามกับเมื่อกี้ที่ถามว่าคนสมัยนี้คิดอย่างไร ปริมก็ยังบอกว่ามันไม่ใช่ เกรดไม่ได้เป็นตัวบอก ยูไม่จำเป็นต้องได้เกรดสูงลิ่ว ถามว่าได้แล้วดีใจไหม ก็ต้องดีใจ มันก็เป็นการบอกกรายๆ ว่ายูทำงานหนัก แต่ในขณะเดียวกันยูทำงานเป็นหรือเปล่า ในขณะเดียวกัน เราไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องเรียนดี หัวดี ไม่จำเป็น แต่ในระหว่างนั้นที่คุณเรียนอยู่สี่ปี คุณทำกิจกรรมอะไร คุณขวนขวายที่จะออกไปหาความรู้เพิ่มเติมไหม ไปฝึกงานหรืออะไรก็ได้ กิจกรรมเหล่านี้มันก็เป็นตัวเสริม ไม่ได้ทุกคนจะต้องเกรดดี แต่คนที่เกรดไม่ดี หาอย่างอื่นให้ตัวเองหรือเปล่า หรือแค่บอกว่าฉันหัวไม่ดี แล้วก็ปล่อยผ่านไป อย่าแก้ตัว หาเหตุผลให้ตัวเอง ลองมองในอีกมุมหนึ่ง มองเข้ามา มันถึงจะทำให้เราพัฒนาได้
น้องปรางและน้องปาวก็ถือเป็นคนรุ่นใหม่ คุณปริมมีเทคนิคอย่างไรในการสอนให้เขาใช้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลง พัฒนาการและเทรนด์ต่างๆ ของยุคสมัยนี้อย่างมีสมดุล
ปราง ปาว โชคดีว่าเขาได้เจอะเจอผู้คนเยอะ ด้วยความที่คุณบอยออกกองตั้งแต่สมัยเด็กๆ คุณบอยจะออกกองเยอะ สิ่งที่จะทำได้ก็คือเราต้องเอาลูกไปที่กอง เขาก็จะเจอกับพี่ๆ หลากหลายมาก ช่างหน้า ช่างผม นักแสดง ตากล้อง ทุกอย่าง ทุกคนที่เขาได้เจอะเจอ เขาก็ได้ฝึกการใช้สกิลการอยู่ร่วมกันในสังคม แล้วเราก็เล่าให้เขาฟังถึงวิถีชีวิตในอดีต ตอนเด็กๆ เราเป็นอย่างไร เราเล่นอะไรอย่างไร เพราะมันมีเสน่ห์ของมัน ในแต่ละช่วงแต่ละวัย แต่ละคนที่เจอะเจอ เขาอาจจะไม่เห็นภาพ เพราะมันไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่ในปัจจุบัน แต่พอเราเล่าให้เขาฟัง เขาก็เห็นว่าปัจจุบันมันเป็นอย่างไร เขาก็เปรียบเทียบได้ เราก็พยายามให้มุมมองในด้านที่เขาไม่ทันคิด เขาเองเขาก็บอกในมุมมองเขา ก็ได้แชร์กัน
เมื่อไรที่ครอบครัวหรือทุกคนใช้การสื่อสารด้วยการเจอะเจอตัวเป็นๆ ไม่ได้ผ่าน LINE ผ่านแชท มันช่วยเยอะมาก ท่าทาง น้ำเสียง แววตา บอดี้แลงเกวจ ทุกสิ่งอย่างมันมีค่ามาก สิ่งเหล่านี้จะทำให้มนุษย์มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น แล้วถ้าเขามีพื้นฐานตรงนี้ เขาก็จะไปปรับใช้ได้กับทุกสิ่งอย่าง เทคโนโลยีจะเข้ามาอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเขามีพื้นฐาน เขาก็จะรู้ว่าเขาควรจะคิดแบบไหน อย่างไร อยู่บนพื้นฐานของความดี ความดีไม่ว่าจะที่ไหน จะยุคสมัยไหน ความดีก็คือความดี มันไม่มีอะไรที่ทำไม่ดีแล้วเรามาบอกว่าอันนี้ดี มันไม่ใช่
ทุกวันนี้คุณปริมชอบและรู้สึกดีใจกับไลฟ์สไตล์ด้านใดของครอบครัวตนเองที่สุด ที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่และคุณลูกมีอะไรที่ทำร่วมกันได้ในช่วงวันหยุดหรือช่วงปิดเทอม
พอเขาโตขึ้นเราก็ทำกิจกรรมอะไรที่ทำร่วมกันได้มากขึ้น อย่างเมื่อสองสามปีหลังก็คือเด็กๆ เริ่มดำน้ำ ช่วงนั้นเวลาไปทริปมันก็จะเป็นช่วงที่เราอยู่กันแบบตลอด แล้วได้เอ็นจอยชีวิตกลางแจ้ง สำคัญมากนะคะ เดี๋ยวนี้ชีวิตกับธรรมชาติของคนเรามันหายไปเยอะมาก ลูกได้มานั่งคุยกัน ดำน้ำอุ๊ยเจอตัวอะไร เราเอ็นจอยการกิน เราก็ออกไปทานอะไรด้วยกัน สมัยก่อนตอนลูกเล็กๆ นี่กินก็น้อย คนเล็กถึงร้านอาหารก็หลับ เดี๋ยวนี้พอโตก็ทำสิ่งเหล่านี้ด้วยกันได้มากขึ้น ก็แฮปปี้ที่ทุกคนได้พัก
มีอะไรที่คุณบอยอยากจะกล่าวเสริมเพื่อเป็นข้อคิดให้กับผู้อ่านอีกหรือไม่ครับ
ผมเชื่อว่าอะไรก็ตามในโลกนี้ รากฐานคือสิ่งที่สำคัญมาก แล้วรากฐานของความเป็นมนุษย์นี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ นักแสดงบางคน บางทีได้อะไรมาง่าย หน้าตาดีหน่อย คนมารุมจีบมาเล่นละครมั้ย มาเป็นดารามั้ย มันเลยได้อะไรมาง่าย ก็เลยไม่ได้คิดว่าจะต้องแอพพรีชีเอทอะไร เพราะทุกอย่างมันเข้ามา แต่พอเขาโตขึ้น หลายๆ คนกลับมาหาเราแล้วบอกว่า ตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร ไม่รู้จักการแอพพรีชีเอท ไม่รู้จักแม้แต่คำว่าขอบคุณ เพราะมันได้อะไรมาง่ายมาก แต่พอวันนี้รู้แล้ว แล้วมันดีจังเลย ชีวิตมีความสุขขึ้นเยอะมาก
ผมว่าอันนี้เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเทคโนโลยีจะไปทางไหนอะไรแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วถ้าพื้นฐาน รากฐานของความเป็นมนุษย์ที่มันต้องอยู่ด้วยกัน ร่วมกัน แล้วมีความเอื้ออาทรต่อกัน การแอพพรีชีเอทซึ่งกันและกัน และการเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน มันล้ำค่ามากเลย และอย่างในอาชีพผมนะ คุณเชื่อไหมว่าถ้าเผื่อเรามีสิ่งนี้อยู่ในใจมากเท่าไหร่ คุณจะเจริญงอกงามในอาชีพนี้ เพราะว่าเวลาคุณทำการแสดงก็ดี หรืออะไรก็ดี มันจะมีอะไรไม่รู้อยู่ข้างในคุณที่ทำให้คนรักคุณ เพราะฉะนั้น หลายๆ คนที่ประสบความสำเร็จเร็ว อาจจะได้อะไรมาง่ายๆ ช่วงนี้อาจจะยังมองไม่เห็น บางทีเขาจะบอกว่า ความดังทำให้หูอื้อหรือตาเลือนๆ แต่เชื่อเถอะว่ารากฐานของความเป็นมนุษย์ที่จะต้องอยู่ด้วยกันและเอื้ออาทรต่อกันและก็แอพพรีชีเอทซึ่งกันและกัน แอพพรีชีเอทในสิ่งที่ตัวเองมี
แล้วคุณปริมมีอะไรอยากจะกล่าวเป็นการส่งท้ายบ้างครับ
ในมุมปริม ทุกวันนี้คนมักจะพูดถึงเวิร์คไลฟ์บาลานซ์ แล้วก็คิดว่าออฟฟิศอาวฉันกี่โมง ห้าโมงหมดเวลาใช่ไหม เวิร์คของฉันหมดละ ฉันต้องไปใช้ชีวิตของฉันละ เพื่อจะบาลานซ์คำว่าการทำงานกับชีวิต ฉันต้องออกกำลัง ฉันต้องไปพบปะสังสรรค์ กลับมามองก่อนว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไร การที่คุณบอกว่า จุดที่ถือว่าคุณเป็นการประสบความสำเร็จในชีวิตคุณคืออะไร ถ้าคุณให้ค่ากับฐานะการเงิน ชื่อเสียง ทำอย่างไรมันก็ไม่เต็ม คุณหาได้เท่านี้ คุณก็จะอยากได้มันมากขึ้น คุณได้เงินเดือนเท่านี้ คุณก็บอกว่าฉันจะลาออกเพื่อจะจากไปอีกจ๊อบหนึ่งเพื่อให้ได้เงินเดือนสูงขึ้น คุณทำงานหกเดือนปีหนึ่งคุณก็จากไปอีกแล้ว มันไม่มีที่สิ้นสุดเลย
ในมุมของปริม การที่จะบอกว่าเรามีความสุขได้ เราภูมิใจในงานของเรา เราผูกพันกับเพื่อนร่วมงานของเราไหม สมัยนี้คนอยากจะมีธุรกิจของตัวเอง ไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร แต่ปริมจะบอกลูกว่า ไปทำงานเป็นลูกจ้างก่อนนะ เรียนรู้ก่อน ไต่เต้าจากเด็กที่เรียนรู้ทุกเรื่องราวก่อนแล้วค่อยๆ เติบโตไป มันมีเสน่ห์นะคะ คุณมีเพื่อนร่วมงาน คุณอยู่ที่หนึ่งแล้วรู้จักทุกคนในบริษัทผูกพันกันเป็นครอบครัว อันนั้นมันมีเสน่ห์มากกว่าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นการที่จะบอกว่าประสบความสำเร็จในชีวิตหรือเปล่า กลับมาคิดดีๆ ถ้ามองใกล้ตัว อย่างคุณบอย การที่มาตรงนี้ ไม่ได้พูดถึงฐานะเงินทองนะคะ คนอาจจะบอกว่าก็คุณสบายนี่นาคุณก็พูดอย่างนี้ได้ แต่ปริมอยากให้มาเห็นว่าเขาทำงานหนักขนาดไหน หนักแบบหนักจริงๆ แต่ถ้าคุณบอกว่าออฟฟิศอาวคุณจบแล้วแล้วคุณก็ไป อะไรคือการรับผิดชอบของคุณ ผลของงานของคุณคืออะไร คุณภาคภูมิใจกับสิ่งเหล่านั้นหรือเปล่า ย้อนกลับมามองว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต คิดดีๆ
*** กองบรรณาธิการ Luxuo ขอขอบคุณโรงแรม InterContinental Bangkok ที่เอื้อเฟื้อห้องพักประเภท Royal Suite ให้เราใช้ถ่ายสัมภาษณ์บทความ Cover Story ในครั้งนี้ ***
บทความที่เกี่ยวข้อง: Tul Tulyatep Uawithya and His Steady Pace to His Goals
Amidst the noise of change, we have identified two voices of reason that bring us closer to good sense and gentility.
Words: LuxuoTH Photo: Ponpisut Pejaroen Video: Thaikom Suktalordcheep and Teerapat Rattanakulchainun
We planned for the first Cover Story article of the year to touch upon the ongoing global transformations impacting various aspects of our lives. As such, the ideal individual to be our invited guest need to be someone who has not only seen the world through different times but also constantly engaged with people from various circles. Therefore, we are deeply honored that Khun Boy Takonkiet and Khun Prim Kanikar Viravan have agreed to give us an interview in their capacities as business leaders, parents and visionaries who have what it takes to help the younger generation navigates the sea of changes out there with great competence.
Work-wise, how was your 2023? What was the project you were particularly proud of?
TV: Given the uncertainty, the economic instability and other things happening locally and elsewhere in the world, I think we have done a great job delivering what we had and at that level of satisfaction. This is true for The One Enterprise which operates One31, GMMTV and Change channels, as well as Muangthai Rachadalai Theater which had three shows: Pitsawat, Waterfall and Fan Chan. It was good to be doing these once again two to three years after the pandemic broke out. Of course, not everything is the same, but we can learn from the situation, see the changes and adjust your work to fit with the new normal situation.
Theater-goers today are mainly the ones from before or do we have a new generation of audience in Thailand at the same rate as other countries of the world?
TV: I would say it isa mix of both. A lot of existing audience had returned to the theaters. There are some elderly audience who are hesitant because of the covid. As a matter of fact, this has become the new normal. Meanwhile, we have attracted younger people as well. These are the new generation people who had not seen a play or a musical before, and they came to one for the first time.
Devices, platforms and connectivity have enabled quick and convenient access to a content of one’s interest. However, they open the door to distractions as well. What is your view on this?
TV: If you look at it as an obstacle, then it is one. If you look at it as an opportunity, then it is one as well. Surely, things are not the same as before. But if you look at it as an opportunity, you will be able to do many new things. We were restrained from doing this and that in the past. On the contrary, we now have the way to target a more objective group of people. We need to know what they watch and through what medium, and then we deliver the right content to the right group of people. Everything we produced in the past had to be all-encompassing. Take television, for example. Everything had to be for everyone for the rating. The style, the methodology and the content were then very restrictive. The majority of people would not accept something too new. For this current age and time, however, everything is dependent upon the target. So we need to know what your target audience watch, and where, and when. This is our chance to create something new and different. This was not possible previously, but it is now, so the whole process is more enjoyable.
What do you think is the greatest change in the entertainment and theater business today?
TV: Mainly, it’s the people, the way they think and how the society has changed. People are more assertive than before. Therefore, the characters we create must match the viewers of today. The lead female character used to be someone who cried a lot and other people were sympathetic with her but did not thing. The lead male character would just keep his cool and good guy look because good things came to good people. That is not true anymore. If you want something, you must work for it. You must find the chance. You must be hands on so you will deserve it. This is why people are more assertive than before. You cannot just cry because they will say it is your business. They will not follow you. Once we have a better understanding of today’s audience, we must cater to it. Having said that, we must try to strike a balance at the same time because people will reject anything too aggressive. We still have to build everything on the foundation of human virtue.
You manage a listed company with so many subsidiaries, all working in the creative field. What is your stance on the use of AI at work?
TV: There needs to be a balance of technology and humanity. The advance of technology has made life more convenient in many ways. The Internet has negated the need for encyclopedia, for example. You just have to Google what you need to know, but you cannot really know which source is trustworthy and which one is not. AI is useful in several industries as it brings more refinement and precision, like in medicine or manufacturing. But for entertainment, well, it depends on what AI is being used for. If everything you see on the screen in the end is AI-generated with no real human, that can be scary.
The human spirit is essential. You can have the perfect look and the perfect voice, but is the soul there? This is what we have to scrutinize. For me, I think of human as human. There is no replacing the human spirit. Every one of us is different. Every one of us is unique. This is a positive thing in the world. I have met several actors who tried to be perfect in acting or singing. I would tell them to not try and be a perfectionist in acting, because a perfectionist is a robot. There is no charm in that.
The charm of human lies in our imperfection. There has to be a little something that sets us apart from the rest. We have to look at everything as a whole. Precision in both singing and acting can be too stiff. It will leave no surprise for the audience to wonder. It will be all too exacting.
You are the lady behind his success. You have seen all of his projects and the people who work with him or came to see his shows. What is the greatest sign of change of the time that you have observed?
KV: I feel that, with technology, especially mobile phones, people have become less patient. The pace is quicker. We expect to receive a response to something in the quickest time. Take, for example, when we text someone, we would expect that person to reply to us immediately. We are frustrated when the person does not respond right away. We are less patient. We assumed that, when we text someone, he or she will acknowledge our message. But it doesn’t work that way in actuality. Our assumption and expectation lead us to frustration. These things have changed the way people live and think.
If we go back to when I was a student, and I had to send a letter to an overseas destination. It would take one week for the recipient to receive my question, and another week for the reply to come back to me. It was a lengthy process. It took two weeks to know something, but there was something appealing in that process of waiting for the letter to come, to open it and to read it. All of this is no more. These changes have profound impact on everyone for real.
Your personality improvement training job requires you to interact with people from all age groups on a regular basis. What would be something that is dear to elder people, that the younger generation has no appreciation for at all, leading to apparent conflict?
KV: One situation experienced by all families must be when everyone is seated at the dining table then someone proceeds to occupy himself or herself with the phone. I’m sure this is universal, and the parents would be the one who ask the children to set the phone down. Let’s remind ourselves of the fact that human is social animals. We don’t live in solitude. We need to interact with those around us. We honor them through these interactions. If there are four people at the table and they are all looking at their phones, they fail to realize that the next person may be waiting to have a chat with them. That is disrespectful, in a way.
With a mobile phone, people are more absorbed in their own world these days. They may be in their own room, texting someone or watching Netflix. Interaction with other people requires some practice. If we want to sound right to other people, we need to practice speaking. This goes beyond mere pronunciation. We are talking about the need to know how to communicate at various levels of formality. We would not be able to know the right words to use if we don’t meet enough people. Your tone of voice, volume and pace all come into play. As Khun Boy said, there needs to be a balance. Humans are conscient. You cannot direct or force someone to develop a certain reaction to a sentence or a word of yours.
People like to say that a university degree is no longer a necessity. Do you think they are just being sarcastic or do you think teenagers these days actually believe so?
KV: I think it is dependent upon the situation, the speaker and the listener. Some people say so just to make an excuse for themselves. Don’t look at a university degree strictly in terms of the end product, without ascribing value to the journey that leads us to it. I don’t think that is the way. Have you been paying attention to your study? Have you worked hard for your degree? A person who graduates with distinction must have worked hard for that success. He just couldn’t get it out of the blue. Nevertheless, a university degree is not everything in life. It is also not a guarantee that you will be successful afterwards. You may not know how to work with other people because you were always memorizing your textbooks. This is why I say the processes along the way are more meaningful than the end product.
I once had a conversation with my children. They have an opposite stance of what you asked me. They asked me how they would be able to land a good job when their grades were not. I told them that grades are not everything. You don’t need the perfect grades. Yes, good grades give you a reason to be happy about something. They are an indirect indication that you have worked hard. But have you been working right? We don’t need to all have the best grades or the sharpest minds. But during the four years of your study, you need to engage in activities and other pursuits to broaden your knowledge. It can be a training position or something. These are the things that will help you. You don’t need to have good grades, but you need to enrich yourself with something else. Don’t keep saying that you are not good at studying and leave it be like that. There is no excuse. Do not give yourself a false justification. Take another perspective. Look from outside in. This is the only way to improve ourselves.
Your daughters belong to the new generation of people. How do you guide them on how to benefit from the changes, the advances and the trends while staying true to what is good for them?
KV: Prang and Pow were lucky to have met a lot of people growing up. When Khun Boy went on a shoot, what we could do was to bring them along. They got to meet the make-up artists, the hairdressers, the actors, the videographers and many other people this way. And this is how they developed the skills to interact with other people socially. I also told them stories about how life was when I was young, and the games or the toys of the time. There is something sentimental about each period in life. They may not have the clearest pictures of those things because they don’t exist anymore. But through the stories, they may be able to make a comparison with what is today. We give them a perspective they didn’t have. And they tell us what they see through their own perspective as well. It is an opportunity to share.
It helps a lot when family members or people in general communicate in person, not through chat messages. The posture, the tone of voice, the look in their eyes, the body language, everything is so valuable. These little things make you a complete human. Once they have these basics right, they can adapt to everything in life. Technology may become more integrated in life, but with the right foundation, they will know how to think on the basis of good virtue. Virtue transcends place and time. Virtue is virtue. You cannot do something bad and say that it is a virtuous act. That’s not the way it works.
Is there a family lifestyle or activity that you are particularly grateful for? Something that allows you both to spend time with your daughters during the weekends or school breaks?
KV: There are more things they can take part in as they grew up. They have taken up diving two or three years ago. And when we go on a trip, we get to spend the whole day together, enjoying life in the sun. This is very important. The nature is the missing element in the life of people these days. We get to share afterwards what we saw during the dives. And now we enjoy eating out with them. This was not easy when they were little because they would eat very little and my youngest would have fallen asleep by the time we arrive at a restaurant. Now we get to do more things together as they have come of age. We are happy to spend down time together.
Do you wish to add anything for our readers to reflect on?
TV: I believe that foundation is crucial to everything in this world, and the foundation of humanity is a very important element. Some actors got things too easily. They had good looks so people all approached them to star in a role and to act. Things came too easily to them to the point where they didn’t think they need to appreciate anything. Everything just came in. But as they grew up, many of them came back to me and said they didn’t know what was going on, that they didn’t know how to appreciate or even to say thank you because things came so very easily. But now they know, and they feel good about it, and that they have a much happier life.
I think this is important. Technology can develop in any direction and to any extent, but the foundation of humanity requires us to co-exist and to be kind to one another. The ability to appreciate the next person and to value what we have today is just priceless. In my line of work, the more you have this in your heart, the more you will grow in this career. When you deliver a good performance or anything, there will be something inside you that make people love you. For a lot of people whose success came too easily, they may not be able to see it yet. Like people say, sometimes fame can cloud your perception. But believe me when I say that, at the very foundation, humans need to be kind to and appreciate one another, and appreciate what you have.
Can you offer some parting words as we conclude this interview?
KV: For me, I notice how a lot of people like to talk about work-life balance, about their office hours and about how they are done for the day at five o’clock. They would say they have to live their life in order to balance with the work, that they need to go to the gym and to mingle with friends. How about you take another good look at your life’s goals? How do you define success? If you value wealth and fame, there will be no end. You manage to get this, but you will always want more. You have this monthly salary and you say you will quit for another job that pays better. You work for six months or a year and then you skip to the next job again. There is no end.
For me, I am happy when I take pride in my work and when I bond with my colleagues. People these days want to own a business. They don’t want to be somebody’s employee. But I tell my daughters to go work for someone first, to learn and to climb the ladder as you go about it. There is something sentimental when you have co-workers, when you work somewhere and you know everyone and you bond with them like a family. Isn’t that just lovely? You need to reflect on whether what you have now is life’s success. Khun Boy got here through hard work, really hard work, not because he came with money and life was easy for him as some may say. But if you say that office hours are over and you walk away, how does it make you a responsible person? What is the result of your work? Are you proud of what you have delivered? Think again about what you need in life. Think it through.
*** This Cover Story interview was shot in the spacious Royal Suite of the InterContinental Bangkok. We thank the hotel for their generous hospitality. ***
See also: Tul Tulyatep Uawithya and His Steady Pace to His Goals