เคล็ดลับดูแลสุขภาพกายและผิวพรรณให้เปล่งปลั่งแบบยั่งยืนและเป็นธรรมชาติในแบบคุณหมอต่อ นายแพทย์ภานุพงศ์ ภัทรกุลทวี
บทความ: LuxuoTH ภาพ: ปัณณทัต เอ้งฉ้วน วีดีโอ: ปสิทธา รุ่งอารีชัยรัตน์ กำกับแฟชั่น: ดนีย์นาถ บุรกสิกร
การมีสุขภาพผิวที่สดใสและเปล่งปลั่ง ไม่ได้เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ความงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยการดูแลรักษาสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่นายแพทย์ภานุพงศ์ ภัทรกุลทวี หรือที่รู้จักกันในนาม “คุณหมอต่อ” ได้เน้นย้ำอย่างต่อเนื่อง ใน Cover Story เดือนนี้ของ Luxuo Thailand คุณหมอต่อก็ได้มาแชร์เคล็ดลับในการดูแลสุขภาพผิวที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสและมีสุขภาพดี แต่ยังรวมถึงการดูแลตัวเองในเชิงองค์รวม เพื่อการรักษาสมดุลที่ดีทั้งภายในและภายนอก สู่ความกระจ่างใสและมีสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติและยั่งยืน
คุณหมอเริ่มสนใจด้านความงามและสุขภาพผิวตั้งแต่เมื่อใด และเพราะอะไร
สนใจมาตั้งแต่อายุสิบกว่าครับ น่าจะตอนประมาณ ม. 4 ตอนนั้นไปเรียน รด. แล้วก็ไม่รู้จักการทาครีมกันแดดเลย ครีมก็ไม่ทา แล้วพอไปเรียน รด. วันแรกก็คือตากแดดจนหูไหม้ลอกเป็นแผ่น จากนั้นก็เลยเริ่มซื้อครีมกันแดด ประกอบกับคุณแม่เป็นคนรักสวยรักงาม คุณแม่ก็ซื้อพวกครีมกันแดด ครีมบำรุงผิวชุดเริ่มต้นของแบรนด์สกินแคร์ญี่ปุ่นแบรนด์หนึ่งให้ หลังจากนั้นก็หมกหมุ่นในการดูแลผิวตัวเองมาก ก็เล่นเว็บบอร์ด ดูแลตัวเองมาตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องความสวยความงามนี่ นอกจากสกินแคร์ ก็เริ่มใช้เมคอัพตั้งแต่ประมาณ ม. 5 ครับ สมัยนั้นก็จะได้ความรู้จากเว็บบอร์ด เว็บไซต์ แล้วก็สะสมมาเรื่อยๆ ครับ
ผู้คนทั่วไปมีความเข้าใจผิดเรื่องสุขภาพและความงามอะไรบ้างที่คุณหมออยากจะเตือน
ผมว่าประเด็นหลักๆ ของคนไทยเลยก็คือ อยากจะขาว อยากเปลี่ยนสกินโทน เปลี่ยนเฉดผิวไปเยอะๆ เลยอยากจะไปดริปวิตามินหรือกินพวกอาหารเสริมที่เร่งขาว บางทีมันอาจจะไม่ได้อันตราย แต่เรากินในปริมาณที่เยอะเกินไปจนตับไตทำงานหนัก คือจริงๆ ผมว่าเทรนด์นี้มันค่อนข้างซาแล้วละครับ แต่ก็ยังมีคนไทยบางกลุ่มที่ยังรู้สึกว่าอยากจะขาวมากเกินไป ก็เลยอยากจะเตือนว่าสีผิวของคนเรามันไม่สามารถจะขาวไปกว่ากรรมพันธุ์ของเราได้ครับ เราเป็นผิวที่สุขภาพดีจะดีกว่า อย่างผมเองก็สีผิวติดขาวเหลือง ก็ไม่ได้มีความพยายามที่จะอยากให้ผิวตัวเองไปทางขาวอมชมพู เน้นดูแลให้ผิวสุขภาพดีจะดีกว่าครับ
การเริ่มแต่งหน้าตั้งแต่อายุยังน้อยส่งผลต่อสุขภาพผิวในอนาคตหรือไม่ อย่างไรบ้าง
เป็นเรื่องที่ดีมากครับ ก่อนอื่นเลย การแต่งหน้าจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจแล้วก็เป็นทักษะติดตัวที่ดีในอนาคต แล้วผมมองว่าการแต่งหน้าตั้งแต่อายุยังน้อยก็เป็นข้อดีคือทำให้เรารู้จักการล้างหน้า ทำความสะอาดหน้าที่เรียกว่า “ดับเบิ้ล เคลนซิ่ง” อันนี้สำคัญมากๆ ครับ บางคนทาครีมกันแดดตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ว่าไม่รู้จักการดับเบิ้ล เคลนซิ่งที่เป็นการใช้พวกออยล์หรือไมเซลลาร์เป็นอันดับแรก แล้วก็ตามด้วยพวกโฟมล้างหน้านะครับ โดยส่วนตัวผมเอง ผมรู้สึกว่าช่วงไหนที่แต่งหน้าแล้วมีการทำความสะอาดหน้าอย่างถูกต้อง ผิวจะมีสุขภาพดี ในขณะที่บางช่วง เช่น ช่วงปิดเทอมตอนเรียนมหาวิทยาลัย บางทีไม่ได้แต่งหน้าออกไปไหนเลย ระหว่างวันกลับรู้สึกว่าผิวหน้ามัน แล้วก็สิวขึ้นง่ายกว่าปกติ ซึ่งมันก็เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะเราอยู่บ้านเราก็อาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดหน้าเท่ากับตอนเราออกไปข้างนอกแล้วเราทาครีมกันแดด เราแต่งหน้า พอกลับบ้านมาก็รู้สึกว่า โอเค เราต้องทำความสะอาดหน้าให้ถูกวิธี แบบนี้ครับ
อยากให้คุณหมอช่วยแชร์เคล็ดลับการดูแลผิวทั้งที่เป็นเดลีรูทีนและการดูแลผิวแบบเร่งด่วน เช่น ถ้าต้องออกงานในวันรุ่นขึ้น ควรเตรียมผิวอย่างไร
เป็นการดูแลแบบเร่งด่วนก่อนแล้วกันครับ ถ้าต้องออกงานในวันรุ่งขึ้น คำตอบแบบทั่วไปเลยก็คือ คืนนี้ก็จะรีบนอน แต่ก็ทำไม่ค่อยได้เหมือนกันครับ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ผมจะมาสก์หน้าให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะมาสก์ได้ครับ อย่างวันนี้ก่อนที่จะมาถ่ายกับ Luxuo Thailand เมื่อเช้าผมก็มาสก์หน้าไป 2 แผ่น แต่ว่าถ้าไปงานใหญ่ๆ ที่ต้องขึ้นเวทีจริงๆ อย่างต่ำก็มาสก์หน้าประมาณ 3-4 แผ่นครับ ส่วนเรื่องสกินแคร์รูทีน ส่วนตัวผมทำสิ่งที่เรียกว่า “สกิน ไซคลิ้ง” มานานแล้วครับ ผมจะมีข้อดีอย่างหนึ่งคือรู้ว่าช่วงไหนผิวต้องการอะไร เหมือนวันนี้อยากกินชาไข่มุก วันนี้อยากกินชาเขียว วันนี้อยากกินกาแฟ เราก็จะรู้ว่าวันนี้ผิวกระหายสกินแคร์ในหมวดไหน ก็อยากจะแนะนำผู้อ่านว่าจริงๆ ผิวของเราไม่ได้ต้องการอะไรซ้ำๆ นะครับ ก็เหมือนเราอยากกินข้าว อยากดื่มน้ำอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง อย่างผมเอง บางช่วงที่คิดไม่ออกจริงๆ ก็จะทำสกิน ไซคลิ้ง คือใช้เรตินอลสลับกับตัวช่วยผลัดเซลล์ผิวตระกูลแอซิด อีก 2 วันก็ใช้พวกมอยส์เจอไรเซอร์ จริงๆ เรายิ่งเปลี่ยนสกินแคร์ ผิวเราก็จะยิ่งดีขึ้น แต่ว่าเราก็อาจจะต้องรู้จักสังเกตผิวตัวเองนิดหนึ่งครับ
อะไรคือสิ่งที่คุณหมอคิดว่าทุกคนควรทำในทุกๆ วันเพื่อสุขภาพที่ดี ทั้งสุขภาพโดยรวมและสุขภาพผิว
สำหรับสุขภาพผิว สิ่งที่ควรทำ ผมจะถือหลัก 3 อย่างครับ ก็คือ กิน ทา แล้วก็ฉีด ถ้าขาดอันใดอันหนึ่งไปก็คือใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้เลยครับ “กิน” คือกินพวกผลไม้ต่างๆ ผมกินเยอะมาก อาหารก็ต้องให้ครบ 5 หมู่ ไม่ใช่ว่าคลั่งผอม แล้วจะมาให้ผิวดี มันเป็นไปไม่ได้ครับ แล้วก็ “ทา” หนึ่งเลยคือครีมกันแดดครับ แล้วก็มอยส์เจอไรเซอร์ เซรั่ม คือต้องทาให้ถึง แล้วก็ “ฉีด” นี่ ยิ่งเลยวัยเลขสามแล้วคือขาดไม่ได้เลยเหมือนกันครับ ส่วนตัวผมเป็นคนหมกหมุ่นกับความงามมาก ผมฉีดโบฯ ตั้งแต่อายุยี่สิบ แล้วก็ทาครีมกันแดดตั้งแต่อายุสิบห้า แต่ตอนนี้ผมคิดว่าคนเริ่มเข้าถึงองค์ความรู้พวกนี้มากขึ้น จริงๆ เราสามารถทาครีมกันแดดได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ เลย ครีมกันแดดสำคัญและจำเป็นมากๆ นะครับ ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นเชียร์ลีดเดอร์คณะ เขาบอกว่าเกิดมาไม่เคยทาครีมกันแดดเลยและคิดว่าไม่จำเป็น ตอนนี้คือตีนกาเขาเยอะมาก ครีมกันแดดจำเป็นแล้วก็สำคัญจริงๆ ครับ ส่วนเรื่องสุขภาพโดยรวม จริงๆ ผมก็ยังเชื่อในอาหารหลักอยู่ ผมเชื่อว่าถ้าอาหารหลักไม่ถึง เราไปกินอาหารเสริมยังไงมันก็ไม่สามารถชดเชยได้ ส่วนตัวผมจะกินผักและผลไม้ต่อวันเยอะมากๆ เลยครับ แล้วก็หลากหลายด้วย ที่เหลือก็จะเป็นอาหารเสริมประมาณ 3 – 4 อย่าง ก็จะเน้นบำรุงผิว บำรุงสุขภาพ แล้วก็จะมีคอลลาเจนบ้างแล้วแต่ช่วงครับ
คุณหมอมีคำแนะนำเรื่องอาหารและโภชนาการสำหรับชาวออฟฟิศที่รับประทานอาหารไม่ค่อยตรงเวลา หรือมักจะไม่ได้รับประทานอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งอย่างไรบ้าง
ผมเป็นคนไม่ค่อยทานข้าวเช้า จะชอบออกกำลังกายก่อน แล้วก็ไปทานประมาณมื้อเที่ยงแล้วก็มื้อเย็น แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่ามันคือการทำฟาสติ้ง แต่ว่าจากที่ได้มีโอกาสคุยกับเทรนเนอร์และผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เขาบอกว่าจริงๆ อาหารเช้าสำคัญมากๆ อาหารเช้าเหมือนเป็นตัวทำให้เมตาบอลิซึมของเราดีขึ้น ช่วงนี้ผมก็กำลังศึกษาอยู่ ก็พยายามกินข้าวเช้า แล้วก็อาจกินข้าวตอนบ่าย ตอนเย็นก็เหลือแค่อาหารนก การทานอาหารให้ครบต่อวัน ให้ได้ปริมาณแคลอรีต่อวันจำเป็นจริงๆ ครับ เพราะไม่ว่าคุณจะไปออกกำลังกายยังไง ไปเข้าคลีนิก ไปดริปวิตามิน หรือว่ากินอาหารเสริมยังไง ถ้าอาหารหลัก คาร์โบไฮเดรต โปรตีนไม่ถึง มันไม่มีทางสุขภาพดีได้ เอาง่ายๆ ถ้าอยากมีสุขภาพผิวที่ดี สุขภาพจะต้องดีก่อน แล้วพวกนี้มันก็สะท้อนมาจากอาหารการกินที่เรากินเข้าไปนี่ล่ะครับ
ไอเท็มหลักที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของคุณหมอที่พกตลอดมีอะไรบ้าง
ของใช้ที่ผมพกติดตัวประจำวันมีหลายอย่างมากครับ ถ้าต้องเลือกจริงๆ ก็จะมีน้ำแร่ฉีดหน้า ลิปออยล์ ลิปสติก แป้งทัชอัพระหว่างวัน ไหมขัดฟัน แล้วก็พวกผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากครับ อย่างสเปรย์ฉีดหน้าผมจะพก 2 ชนิดครับ ก็คือไว้ฉีดฟิกซ์เมคอัพตอนเช้า แล้วก็น้ำแร่บำรุงผิวเอาไว้ฉีดระหว่างวัน ส่วนลิปคือขาดไม่ได้เลยครับ ผมว่าผมพกลิปในแต่ละวันน่าจะมีสัก 20 – 30 แท่ง กระจายอยู่ตามกระเป๋า กระจายอยู่ในรถ เพราะเราไม่รู้ว่าวันนี้เราแต่งหน้าสีไหน ก็ต้องพกให้ครบไว้ก่อน ส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก เมื่อก่อนตอนอายุ 20 เลขสอง ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ กลับบ้านค่อยไปจัดการ แต่พออายุเลขสามแล้วรู้สึกว่าเหงือกอักเสบง่ายมาก ก็เลยต้องพก ทานอาหารเสร็จก็ต้องรีบทำความสะอาดช่องปากเลยครับ แล้วจริงๆ มันก็เป็นอุปนิสัยที่ดีนะครับ เวลาเราไปเจอใคร การที่เราไม่มีกลิ่นปากก็ถือเป็นบุคลิกที่ดีเหมือนกันครับ
เนื่องจากคุณหมอต่อเป็นทั้งแพทย์ นักธุรกิจ และอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก คุณหมอมีวิธีบาลานซ์เรื่องการทำงาน ชีวิตส่วนตัว และความสุขของตัวเองอย่างไรบ้าง
ต้องปรับมายเซ็ทเลยครับ ประมาณ 2-3ปีก่อนหน้านี้อยากรวยมาก ทำยังไงก็ได้ให้รวยที่สุด บริษัทต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่ว่าตอนนี้รู้สึกว่าเงินมันก็ไม่ได้สำคัญกับชีวิตเราขนาดนั้นครับ ตอนนี้ก็ถือหลักว่า ทำงานให้มีความสุขไปดีกว่า เครียดบ้าง ไม่เครียดบ้าง ฟรีบ้าง ตอนนี้รู้สึกเลยว่าบางวันอยากตื่นไปทำงานมาก รู้สึกทำงานอย่างมีความสุข อย่างช่วงประมาณ 2-3 ปี หรือครึ่งปีที่ผ่านมา ทำงานเครียดมากจนเราต้องมาเปลี่ยนมายเซ็ทใหม่ว่า เอาจริงๆ รวยไปก็ไม่รู้จะเอาเงินไปใช้อะไรนักหนา คือทำงานให้มีความสุขดีกว่า เราทำงานเกี่ยวกับด้านที่เราชอบอยู่แล้ว มันก็มีความสุขอยู่แล้ว เราก็บาลานซ์เวลา โอเคว่าเราอาจไม่ต้องเติบโตแบบ 20%, 30% หรือเข้าตลาดหลักทรัพย์ แค่ให้มันเติบโตตามศักยภาพของเราแค่นี้ก็พอครับ แล้วเราก็แบ่งเวลาไปออกกำลังกายบ้าง ตอนเช้าผมจะออกกำลังกายทุกเช้านะครับ เลิกงานสองสามทุ่มก็ไปจิบๆ กับเพื่อน มีแวะไปชอปปิ้ง ทุกวันนี้เข้างานที่คลินิกแค่ 3 วัน อีก 2 วันก็อาจจะทำธุรกิจส่วนตัว อินฟลูเอนเซอร์ อีก 2 วันก็พักครับ คิดว่าก็พอใจกับงานที่ทำตอนนี้แล้ว ไม่ได้อยากจะเติบโตจนเข้าตลาดหลักทรัพย์อะไร ไม่ได้กดดันตัวเองแล้ว เวลาเครียดมากๆ ผมก็จะไปชอปปิ้งครับ เอาอารมณ์ไปลงตรงนั้นดีกว่า แต่การชอปปิ้งก็ต้องให้สัมพันธ์กับเศรษฐฐานะของตัวเองด้วย หรือถ้าไม่อย่างนั้นผมก็จะไปทำสปาครับ
คุณหมออยากฝากอะไรถึงผู้อ่านในเรื่องของสุขภาพและความสวยความงามบ้าง
ผมอยากจะบอกว่าเรื่องพวกนี้มันไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาหลักวันหรือหลักเดือน มันต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนานมาก คนมาถามผมตลอดว่าทำยังไงให้ผิวดี ก็อย่างที่บอกเลยครับ ผมทั้งกิน ทั้งทา ทั้งฉีดมาเป็นระยะเวลานานมาก การมาดริปวิตามินแค่ขวดสองขวดมันไม่สามารถเปลี่ยนสุขภาพหรือเปลี่ยนผิวให้ดีขึ้นได้ครับ มันต้องทำหลายอย่างประกอบกัน กินก็ต้องกินให้ถึง ทาก็ต้องทาให้ถึง ฉีดก็ต้องฉีดให้ถึง คือทำได้ 3 อย่างนี้ ยังไงทั้งสุขภาพร่างกายและสุขภาพผิวมันจะดีขึ้นแน่นอนครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง: Sermkhun Kunawong on His Artistic Journey from a Collector to a Curator