วิธีรับมือกับความท้าทายครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี ของ Wongnai
บทความ: อังคณา วงศ์วิเศษไพบูลย์
จากจุดสตาร์ทในปี 2010 ล่วงเข้าสู่หลักไมล์ที่มีจำนวนผู้ใช้กว่า 10 ล้านรายต่อเดือน Wongnai เป็นแพลตฟอร์มยอดฮิตที่คนยุคนี้ต้องมีติดไว้ในมือถือ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตามหาความอร่อยใกล้ตัว หรือกดดูรีวิวจากผู้ใช้จริงแบบครบวงจร ทั้งร้านอาหาร สูตรอาหาร ความสวยความงาม และท่องเที่ยว แม้จะเป็นสตาร์ทอัพที่เติบโตขึ้นมาและมีความแข็งแกร่งจากฐานผู้ใช้ทั่วประเทศ แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้ การมาเยือนของ Covid-19 ได้สร้างปัญหาให้กับผู้ประกอบการตั้งแต่กิจการเล็กๆ จนถึงระดับใหญ่โดยถ้วนหน้า ซึ่งรวมถึง Wongnai ด้วย
หลังจากมีคำสั่งปิดสถานที่ต่างๆ เป็นการชั่วคราว เพื่อลดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา พูดได้เต็มปากว่าไม่มีชีวิตใครไม่เปลี่ยน กรุงเทพมหานครยังดูสงบนิ่ง ไร้แสงสียามค่ำคืน ทว่าในความเงียบงันนั้นเราสัมผัสได้ถึงความไม่หยุดนิ่ง พลังกายที่พร้อมจะตั้งหลัก ดิ้นรนต่อสู้เพื่อเรียกคืนวิถีชีวิตความเป็นอยู่และรายได้ให้กลับมาเหมือนเดิม เราเองก็เช่นกัน เมื่อการล็อกดาวน์เริ่มคลาย คนแรกที่ Luxuo นึกถึงคือ ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Wongnai Media บุคคลที่เราอยากจะพูดคุยด้วยมากที่สุดในช่วงเวลานี้
ช่วงแรกที่เจอวิกฤต ธุรกิจร้านอาหารได้รับผลกระทบแค่ไหน
ร้านอาหารกระทบมากกว่าเราแน่นอน ตั้งแต่วันที่ประกาศว่าไปทานข้าวที่ร้านไม่ได้ ทำให้ร้านอาหารต้องพึ่งฟู้ดเดลิเวอรี่และเทคเอาต์เป็นหลัก เท่าที่ผมกะประมาณและได้คุยกับร้านต่างๆ รายได้น่าจะลดลง 70-80% ซึ่งแน่นอนว่าพอร้านอาหารหดตัวลง หรือแค่รอดให้ได้ก็เป็นเรื่องยากแล้ว มันย่อมกระทบธุรกิจของ Wongnai แน่นอน เพราะธุรกิจด้านหนึ่งของ Wongnai เป็นมีเดีย เราโปรโมตและทำการตลาดให้ร้านอาหาร พอเขาลำบาก เราเองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ในส่วนธุรกิจที่เป็น POS (Point of Sale ระบบจัดการร้านอาหาร) ก็กระทบเยอะเหมือนกัน เพราะไม่มีร้านอาหารใหม่ ร้านต่างๆ หยุดให้บริการ แต่ในส่วนที่ดีก็คือฟู้ดเดลิเวอรี่ที่เราทำกับ LINE MAN
ผ่านไปแล้ว 45 วัน สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นบ้างไหม
ส่วนใหญ่ยังรอความชัดเจนในเรื่องของมาตรการว่าจะยังไงกันแน่ ฝั่งผู้บริโภคเองก็ยังกังวลว่า ถ้าไปทานแล้วจะเสี่ยงหรือเปล่า มันเลยกลายเป็นว่าถึงจะเปิดได้แล้วก็จริง แต่มันเปิดในวงจำกัดมากๆ บางร้านบอกว่ายังไม่คุ้มที่จะเอาพนักงานกลับมาลง หรือไม่คุ้มที่จะสั่งวัตถุดิบเข้ามา ผมว่าผ่อนปรนก็จริงแต่มันยังมีความเข้มข้นอยู่ เช่น ต้องนั่งห่างกัน 1.5 เมตร ร้านติดแอร์เปิดได้หรือยังไม่ได้ ถ้าไปด้วยกันต้องนั่งห่างกันหรือเปล่า มันมีความกังวล มีความยุ่งยาก เราคงหวังว่ามันจะกลับมาเปรี้ยงปร้างไม่ได้ในเร็วๆ นี้ คงใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะกลับมาในสภาพที่ใกล้เคียงกับของเดิม
คิดว่านานแค่ไหนถึงจะคืนสู่สภาพปกติ
ถ้าบอกว่าเดือนเมษายนยอดขายของร้านอาหารตกไป 70-80% ณ ตอนนี้ร้านก็อาจจะกลับมา 40% เดือนหน้าอาจจะเป็น 50% เดือนต่อไป 60% หรือ 70% ผมว่าไตรมาส 4 นั่นแหละถึงจะกลับมาใกล้ๆ 100% แต่ต้องไม่มีระลอกสองนะ เพราะถ้ามีก็ต้องกลับไปปิดเหมือนเดิม ยกเว้นว่ามีวัคซีนแล้วซึ่งน่าจะเป็นทางแก้ที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้นกับ Covid-19 มันก็อาจจะเป็น on and off relationship เป็น long-term relationship ที่เราจะต้องอยู่กับมันไปอีกนาน
วิกฤตครั้งนี้ทำให้การเติบโตในภาพรวมของ Wongnai ต้องหยุดชะงักหรือเปล่า
ต้องบอกว่า Wongnai ยังโชคดีที่มีธุรกิจหลายอย่าง เพราะฉะนั้นเรายังเติบโตต่อไปได้ แต่ที่กระทบคือแคชโฟลว์ซึ่งพูดตามตรงว่าธุรกิจสื่อ ธุรกิจ POS เป็นธุรกิจที่แคชโฟลว์ค่อนข้างดี แต่ธุรกิจที่เป็นฟู้ดเดลิเวอรี่เป็นธุรกิจที่เราต้องลงทุน พูดง่ายๆ คือยังไม่ได้กำไรมากนัก เลยทำให้เรามี growth แต่ไม่มีกำไร ขณะเดียวกันพอคนอยู่บ้านแล้วทำกิจกรรมเยอะขึ้น เช่น ทำอาหาร หรือสั่งอาหาร เราก็ได้รับผลกระทบในทางบวก โชคดีที่เราเหมือนมีผลไม้อยู่ในหลายถัง คือมีบางต้นโต บางต้นที่ลดลงไป โดยรวมเราก็ถือว่ายังไม่ได้แย่มากนัก ยังโอเคอยู่
Wongnai มีพนักงานกว่า 500 คนในสำนักงานทั้งหมด 9 จังหวัด องค์กรต้องปรับโครงสร้างแค่ไหน
ปรับแผนมากเลย ตั้งแต่ work from home เรามีการ rotate คนเยอะเหมือนกัน เราเรียกว่า special workforce ยกตัวอย่างทีมอีเวนต์ที่ตอนนี้ยังจัดงานไม่ได้ ก็ต้องไปช่วยทีมอื่นๆ ที่กำลังโต เราพยายามจะ rotate พนักงานให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด พนักงานที่ถูก rotate น่าจะมีเป็นร้อยคน ตอนนี้เรายังไม่มีการเอาพนักงานออก แต่มีการลดเงินเดือนบางส่วน
ระดับความเครียดของคุณ
เรียกได้ว่าอันดับ Top 2 แล้วกัน ก็คือเป็น 1 ใน 2 เรื่องที่เครียดที่สุด ครั้งแรกคือตอนเริ่มธุรกิจ ตอนนั้นยังเป็นกลุ่มเล็กๆ กับเพื่อน 3-4 คน เครียดอยู่สองปีเพราะไม่รู้ว่าธุรกิจจะไปรอดหรือเปล่า แต่ครั้งนี้ไม่ได้เครียดถึงขนาดว่าเราจะอยู่ต่อไม่ได้ แต่เครียดในแง่ที่ว่าตอนนี้เราไม่ได้มี 4 คนแล้ว แต่เรามีกันอยู่ 500 คน เราจะทำยังไงให้ 500 คนนี้อยู่ไปด้วยกันจนครบเพราะการตัดพนักงานออกก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่หลายๆ คนต้องทำ แต่เราเองก็ต้องประเมินว่าเราต้องทำถึงสิ่งนั้นหรือเปล่า หรือว่าสามารถ rotate ยังไงได้บ้าง หรือทำยังไงถึงจะรีดประสิทธิภาพของพนักงานออกมาได้มากที่สุดในช่วงเวลาแบบนี้
สถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะฉะนั้นไม่มีใครทำนายได้ว่าเดือนหน้าจะเกิดอะไรขึ้น หรือไตรมาส 3-4 จะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่กดดันเราอยู่มันเป็นปัจจัยภายนอกทั้งหมด คือเราพยายามปรับภายในอย่างมากที่สุดแล้ว แต่ถ้าปัจจัยภายนอกไม่เกื้อหนุน มันก็อาจจะยังซบเซาอยู่ดี เพราะฉะนั้นมันก็เลยเป็นความเครียดอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะเกมนี้เราไม่ได้ควบคุม เราต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์จริงๆ ถ้าเกิดระลอกสองขึ้นมา ร้านอาหารกลับไปปิดอีกรอบหนึ่ง แผนธุรกิจเราก็ต้องเปลี่ยนอีก
หลังจบวิกฤต คุณคิดว่าพฤติกรรมของคนจะเปลี่ยนไปไหม
พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้วครับ ทุกคนปรับตัวไปแล้วระดับหนึ่ง ทุกคนทำงานที่บ้าน ทุกคนใช้ Zoom ใช้ video conference ทุกคนกินอาหารที่บ้าน ทุกคนมีงานอดิเรกใหม่ๆ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติไปแล้ว ทุกคนมองว่าการกลับไปทานข้าวนอกบ้านเป็นเรื่องลักชัวรี่ หรือการไปห้างสักครั้งคงจะต้องเตรียมตัวกันมากขึ้น ทุกวันนี้สถานการณ์มันบังคับ เราไม่ได้อยากจะปรับด้วยตัวเอง การที่เราต้องมานั่งใส่หน้ากาก หรือนั่งห่างกัน ถามว่าอึดอัดไหม มันอึดอัดครับ แต่ถ้าเดินไปไหนแล้วไม่ต้องใส่หน้ากากก็คงจะมีความสุขขึ้นอีก 10-20% หรือสามารถไปดูคอนเสิร์ตได้ครั้งหนึ่งมันคงมีความสุขมากขึ้นอีก 50% เลย แต่ตอนนี้มันกลายเป็นว่าทุกคนรู้แล้วว่ามันคงไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แน่นอน
คุณไม่คิดว่าเงินในกระเป๋าจะเยอะขึ้นเหรอ
เงินในกระเป๋ามันไม่ใช่มาตรวัดความสุข การมีอิสระน่าจะเป็นมาตรวัดความสุขที่ดีกว่า แต่ตอนนี้เราไม่มี
บทเรียนที่ทุกคนได้รับจากวิกฤตนี้
ผมคิดว่ามีหลายแง่มุมนะครับ ถ้ามองในเรื่องของผู้ประกอบการ การเป็นนักธุรกิจ เราคงรู้แล้วล่ะว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นได้จริง ที่เราเรียกว่า Black Swan หรือหงส์ดำ หรือว่าสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน เราอาจจะเตรียมตัวไม่ได้เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่ผมว่าเราน่าจะเตรียมใจได้ และถ้าเหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านไป เราน่าจะมีวิธีมองโลกที่เปลี่ยนไป องค์กรต่างๆ อาจจะลีนมากขึ้น เพราะรู้ว่าในเวลาอย่างนี้เราไม่จ้างคนเพิ่ม บริษัทก็ยังรันต่อไปได้ หรือเราไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวันก็ได้นี่ เราอาจจะลดค่าเช่าได้
เรื่องของแคชโฟลว์ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะกลายเป็นว่าพอสถานการณ์วิกฤตปุ๊บ ทุกคนรู้สึกว่าการถือเงินสดไว้ในมือเป็นเรื่องที่ได้เปรียบมากๆ คนที่ไม่มีเงินสดในมืออาจเสียเปรียบด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นมุมมองในเรื่องความเสี่ยงของผู้ประกอบการอาจเปลี่ยนไป อาจจะ risk alert มากขึ้น มุมมองในการใช้ชีวิตส่วนตัวก็เปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้กิจกรรมง่ายๆ อย่างไปเยี่ยมญาติหรือทำสวนก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาแล้ว กลายเป็นว่าเราเห็นคุณค่าของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ สมัยก่อนวันเสาร์อาทิตย์ผมต้องไปห้าง เดี๋ยวนี้ไปบ้านพ่อตาแม่ยายก็มีความสุขแล้ว รู้สึกว่ามุมมองในการใช้ชีวิตก็เปลี่ืยนไป
New Normal ที่คุณอยากเห็น
ผมอยากเห็นการได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเหมือนเดิม ภายใต้เงื่อนไขว่าเราต้องควบคุมโรคได้ ต้องมีวัคซีนที่ป้องกันหรือรักษาซึ่งมีประสิทธิภาพดี เพราะ New Normal ที่เราเห็นตอนนี้มันเป็นสถานการณ์ที่ถูกบังคับให้เป็น ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องระแวง จะขึ้นลิฟต์ก็ต้องมีอุปกรณ์ ซึ่งถ้ามีมาตรวัดความสุขของคนทุกวันนี้ มันน่าจะลดลงกว่าเมื่อต้นปีที่ผ่านมาถึงแม้ช่วงนั้นจะมีพีเอ็ม 2.5 ก็ตาม
คุณจะบอกคนท้อแท้ในช่วงเวลานี้อย่างไร
ผมคิดว่าเราทำได้ดี ดีกว่าหลายๆ ประเทศ เป็นเรื่องที่ต้องชมตัวเอง ต้องชมทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่เราควบคุมโรคได้ค่อนข้างดี เพราะฉะนั้นผมว่าเรากลั้นใจกันอีกไม่นาน ถ้าหากว่าโมเมนตัมเป็นอย่างนี้ต่อไป ภายในครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือนข้างหน้ามันน่าจะมีการปลดล็อคมากขึ้นอีก และเราน่าจะโผล่พ้นน้ำได้ เราต้องมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ว่าอดทนอีกไม่นาน มันน่าจะดีขึ้น
แคมเปญใหม่ๆ ของ Wongnai
ตั้งแต่ช่วง Covid-19 เป็นต้นมา เรามีหลายโครงการมากครับ ไม่ว่าจะเป็น Covid Relief Gift Voucher (ซื้อเวาเชอร์วันนี้ คุณได้ส่วนลด ร้านได้อยู่ต่อ) ที่ขายให้ร้านอาหาร คือเอารายได้มาให้ร้านหมุนเวียนก่อน เพราะช่วงนี้ยังเปิดร้านไม่ได้เต็มที่ แล้วก็มีขายพวกเสื้อยืดต่างๆ คู่ไปกับเวาเชอร์ โดยเวาเชอร์นี้ลูกค้าสามารถเก็บไว้ใช้แทนเงินสดได้สูงสุดถึง 1 ปี นอกจากนี้เรายังออกฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ช่วยร้านด้วย เช่น Pickup กดสั่งอาหารผ่านแอปฯ แล้วไปรับได้ที่ร้าน ซึ่งไม่มีค่าบริการ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Self Promotion สำหรับร้านอาหารที่ใช้ Wongnai Merchant App (WMA) สามารถเข้าไปสร้างโปรโมชั่นของตัวเองได้ แล้วก็โปรโมท พับลิช ผ่าน Wongnai และ LINE MAN ได้เลย
เป้าหมายสูงสุดของ Wongnai
เป็นเทคคอมพานีอันดับหนึ่งในประเทศไทยที่ achieve great things ได้ ซึ่ง great things ในที่นี้อาจจะเป็น IPO หรือว่าอาจจะเป็นยูนิคอร์น
บทความที่เกี่ยวข้อง: Meet The Champagne That Begs to Be Served on The Rocks
Wongnai CEO and Co-Founder Yod Chinsupakul speaks with Luxuo Thailand on how the food platform is riding out the pandemic.
Words: Angkana Wongwisetpaiboon
From its beginning in 2010, Wongnai has grown to attract more than 10 million users per month. People have Wongnai app on their mobile phone to search for eateries within their vicinity, and to read up on reviews from real customers. The platform has since expanded to cover other relevant topics including cooking recipes, beauty and travel. Despite a strong base of users nationwide, Wongnai is not immune to the effects of Covid-19 which has wreaked havoc on businesses large and small.
The lockdown orders put in place to curb the spread of the coronavirus have far-reaching impacts. Everyone is affected. Bangkok is especially peaceful during the day and quiet during the night. Still, we can sense how everyone is working in that silence in order move forward, regain the way of life, and, bring revenue up to the pre-Covid level. We are pretty much the same here at our editorial department. Once the lockdown is eased, we approached Yod Chinsupakul, CEO and Co-Founder, Wongnai Media, totalk about how his business and those of his partners are riding out this pandemic.
What was the extent of impacts on the restaurants initially?
The restaurants are definitely hit harder than us. Right from the day the authority disallowed dine-in, all restaurants had to depend on delivery and take-away business. From my estimation and from my talks with the restaurants, their income must have dropped by 70-80%. Given how it is already difficult for them just to survive, our Wongnai business stands to suffer. In one way, we are a media promoting and marketing their business for them. If they are in trouble, we are in trouble. Our POS (Point of Sale) system business is significantly affected as well because there is no new restaurant opening and the existing ones put a pause on their operation. On the contrary, the food delivery business with LINE MAN is benefiting from the situation.
The situation has been going on for 45 days. Have things improved?
Most are still waiting to see a clearer guideline from the authority. Consumers are also concerned about the risk of infection if they choose to dine out. So, even if the restaurants can open, some of the operators still say they cannot justify the cost of bringing the staff back or ordering raw materials because there are several limitations. The lockdown is eased all right, but the measures are still restrictive. People have to sit 1.5 metres apart. Can air-conditioned eateries open or not? Do customers arriving together need to sit separately? There are concerns about inconveniences such as these. We cannot expect restaurant businesses to make a quick comeback. It will be a long while until things return to the near normal level.
How long do you think it will be until things return to normal?
If we say that restaurants’ sales dropped 70-80% in April, their revenue may come back up to 40% next month, 50% in the month after, then 60% and 70%. I believe it will be nearly 100% in the fourth quarter, provided that there is no second wave of infections which will result in another shutdown. A vaccine should be the best solution. As things stand, Covid-19 will be on and off and we may just develop a long-term relationship with it.
Is the overall growth of Wongnai stagnant because of this crisis?
We are fortunate in that we run several businesses so we can still grow. What is affected is our cashflow. To be honest with you, the POS business is one with reasonably good cashflow. The food delivery business requires investment. In other words, we not making much of a profit yet. There is growth, but there is no profit yet. People stay at home more so we are seeing an increase in activities such as cooking or food ordering. This is good for us. It’s like we are lucky because we have fruits in several baskets. Some trees grow, some don’t. But overall, we are not in a bad shape. We are okay.
Wongnai employs more than 500 people in nine provinces. What is the level of restructuring are we looking at?
We changed a lot since we started working from home. Many roles are rotated into the special workforce, for example, the event team members are put on other growing teams because nobody can have an event right now. We are trying to rotate as many employees as quickly as possible. There are about a hundred people who need to be rotated. We have not laid off people at this time, but there are some pay cuts.
How stressful are you right now?
Let’s say it’s in the top two level. This is one of the two most stressful periods of time. The first time was when we started out as a group of three or four friends. We were under stress for two years because we did not know if our business would make it. This time, we are not concerned for our survival, but we are no longer four people – we are 500 people. How do we survive as 500 people without cutting anyone? Many businesses have to lay off people. We, too, have to make that assessment. Is there a way we can rotate them, or to make the most out of their efficiency during this time.
This situation we are experience is unprecedented. Therefore, nobody can predict what will happen next month or in the third or the fourth quarter. The stress factors are all external. We have tried our best to change internally, but things will continue to be slow if external factors are not supportive. This has become another form of stress. We are not in control of this game. We need to adapt to the situation. And if there is a second wave of infections and the restaurants must be closed once more, our business plans will have to change yet again.
Do you think people’s behaviours will change after Covid-19?
They have already changed. Everyone changed to a degree. We work from home. We use Zoom for video conferencing. We eat at home. We have new hobbies. This has become a new reality. People think of dining out as a thing of luxury. They make more preparations before going to a mall. The situation is facing our hands. People didn’t want to change. Is it uncomfortable to wear a mask or to sit apart? It certainly is. If we can go places without having to wear a mask, we should be 10-20% happier. If we can go to concerts, we should be like 50% happier. But we all know that is not happening any time soon.
Don’t you think that will leave you with more money in your wallet?
Money is not an indicator of happiness. We should be happier if we are free, but at the moment, we are not.
What is the lesson everyone will learn from this crisis?
There are several ways of looking at this. If we talk about entrepreneurs and business people, they know now this can happen: a black swan event, one that we do not expect and may not have prepared for because we don’t know what’s going to happen in the future. But I think we can wrap our mind around this. Once this is over, we will have a different outlook of the world. Organisations will become leaner because they realise that they can function without extra headcount during this time. Similarly, they may realise that people don’t have to come to the office every day and manage to reduce leasing cost in the process.
Cashflow is also important. In time of a crisis, everyone feels that they are in a position of great advantage if they have cash in their hands. You may even stand to lose if you don’t have cash. Consequently, entrepreneurs may have a changed view of risks. They may become more risk alert. Their view of personal life may also change. Simple things like visiting family members or gardening have become more gratifying. We appreciate the little things. I used to spend time at the malls on weekends. Now I am at my in-laws’ place and I am happy. My perspective on life has changed.
What is the new normal you would like to see?
I want to see people being able to live their life freely like before, under the conditions that we are able to control the disease, that we have a vaccine or that we have an efficient treatment. The new normal we see now is forced by the situation. We have to be paranoid everywhere we go. We need to have a tool to press the elevator buttons. If there is a happiness index, it must be even lower than earlier this year even if there was PM 2.5 at that time.
Please say something to someone who may feel like giving up now.
I think we are doing better than many other countries. We need to praise ourselves for this, praise everyone involved in this disease control effort. We need to hang on in there. If the momentum continues like this, the lockdown should be further eased in half a month or one month. We will then be able to breathe. We need to be positive on this. It should get better in time.
Is Wongnai running new campaigns at the moment?
We’ve had several since the beginning of Covid-19. We have the Covid Relief Gift Voucher that we sell on behalf of the restaurants. You get the discount and the restaurants get the revolving cash they need for this period when they cannot open fully. We also have t-shirts we sell together with the vouchers. Customers can keep the vouchers and use them instead of cash for up to one year. Other than that, new features were designed to help the restaurants like the Pickup function in the app which allows users to order and pickup at no extra charge. Lastly, we have this feature called self-promotion for restaurants on WMA or Wongnai Merchant App. They can create a promotion of their own and publish it via Wongnai and LINE MAN right away.
What is the ultimate goal of Wongnai?
We want to be Thailand’s number one tech company. We want to achieve great things which may be an IPO or we can be a unicorn.
See also: Meet The Champagne That Begs to Be Served on The Rocks