ผู้จัดการทรัพย์สินโยกการลงทุนครอบครัวผู้มั่งคั่งไปลงสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังคาดการณ์เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่สภาวะถดถอยในปี 2020
บทความ: โจนาธาน โฮ ภาพ: Shutterstock
ธนาคาร UBS ได้ร่วมมือกับ Campden Wealth Research สำรวจมุมมองของกลุ่มครอบครัวมหาเศรษฐีที่มีสินทรัพย์เฉลี่ย 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ผลการสำรวจพบว่าบรรดาผู้มั่งคั่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่สภาวะถดถอยภายในปี ค.ศ. 2020 นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้จัดการทรัพย์สินของครอบครัวกำลังโยกย้ายเงินสดและทรัพย์สินไปยังสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่มีความปลอดภัย
รายงาน UBS Global Family Office ประจำปี ค.ศ. 2019 ได้สำรวจความคิดเห็นของประธานและผู้บริหารของสำนักงานบริหารจัดการความมั่งคั่งของครอบครัวมหาเศรษฐีจำนวน 360 แห่งทั่วโลกที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ที่ 917 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเฉลี่ย รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า “ผู้จัดการทรัพย์สินเกิดความไม่แน่ใจว่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์จะสามารถช่วยปกป้องความมั่งคั่งในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้หรือไม่”
ผลการสำรวจพบว่า สำนักงานบริหารทรัพย์สินของมหาเศรษฐีได้มีการถอนสินทรัพย์จากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 แล้วและหันไปถือสินทรัพย์ทางการเงินที่ปลอดภัย เช่น อสังหาริมทรัพย์ โดยอ้างเหตุผลของค่าธรรมเนียมที่สูงและผลการดำเนินงานที่ไม่สดใสของกองทุนเหล่านั้น
ซาร่า เฟอร์รารี่ หัวหน้า Global Family Office Group ของ UBS ระบุว่า บรรดาสำนักงานผู้จัดการทรัพย์สินเหล่านั้นกำลังจะจัดสรรสินทรัพย์ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และหุ้นของบริษัทเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนตรงที่มีข้อเสนอให้สำนักงานจัดการทรัพย์สินมีอำนาจในการควบคุมการบริหารมากขึ้น ในขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจแสดงความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน แต่พวกเขายังคงเชื่อมั่นว่าการลงทุนระยะยาวสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ผู้บริหารของสำนักงานจัดการทรัพย์สินจำนวนมากกว่าครึ่งหรือร้อยละ 55 คาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจจะถดถอยในปี ค.ศ. 2020 เพราะมีความกังวลในปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ในขณะที่ร้อยละ 63 แสดงความกังวลในปัญหา Brexit แต่ก็ยังมีการย้ายเงินไปลงทุนในสหราชอาณาจักรเพราะสินทรัพย์มีราคาถูก นอกจากนี้มาตรการโกลเด้นวีซ่าของสหราชอาณาจักรที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านวีซ่าเพื่อการพำนักอาศัยแก่ชาวต่างชาติที่ลงทุนในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ 2 ล้านปอนด์ขึ้นไปก็ทำให้กลุ่มผู้มั่งคั่งจากฮ่องกงแห่กันไปลงทุนที่นั่น นักวิเคราะห์บางคนจึงคาดการณ์ว่าในระยะยาวแล้ว ราคาของสินทรัพย์ในอังกฤษน่าจะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับตอนก่อนเกิด Brexit
พอร์ตการลงทุนที่บรรดาสำนักงานบริหารทรัพย์สินเหล่านี้ดูแลอยู่มีผลตอบแทนร้อยละ 5.4 โดยเฉลี่ย โดยมีหุ้นในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์เป็นสินทรัพย์ดาวเด่นที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดคือ ร้อยละ 16 โดยเฉลี่ยสำหรับการลงทุนตรง และร้อยละ 11 สำหรับการลงทุนในกองทุนต่างๆ ในการรับมือกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่กำลังคืบคลานเข้ามา กลุ่มผู้มั่งคั่งร้อยละ 45 เริ่มที่จะจำกัดและลดสถานะความเสี่ยงด้วยการปรับพอร์ตการลงทุน และเพิ่มการถือครองในพันธบัตรและอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น คำกล่าวที่ว่า “เงินสดคือราชา” ยังคงจริงแท้แน่นอน โดยกลุ่มมหาเศรษฐีร้อยละ 42 กำลังเพิ่มปริมาณเงินสดสำรองของพวกเขา
บรรดานักบริหารความมั่งคั่งมองว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นการลงทุนที่มีความปลอดภัยเพราะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 9.4 นั่นจึงทำให้สำนักงานบริหารทรัพย์สินส่วนใหญ่จัดสรรสินทรัพย์ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 และคิดเป็นร้อยละ 17 ของพอร์ตการลงทุนโดยเฉลี่ย ในขณะที่ร้อยละ 19 เป็นการลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ UBS รายงานว่ามีผลการดำเนินงานดีที่สุด ส่วนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกทั้งในตลาดหุ้นเกิดใหม่และตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วเป็นสินทรัพย์ที่มีการจัดสรรเงินไปลงทุนมากที่สุดหรือคิดเป็นร้อยละ 32 ของพอร์ตการลงทุน
ดร. รีเบคก้า กูช ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Campden Wealth ระบุว่า สำนักงานบริหารความมั่งคั่งของครอบครัวมหาเศรษฐีมีความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมือง และมีลางสังหรณ์ว่าเรากำลังจะมาถึงจุดจบของวัฎจักรตลาดปัจจุบัน ในขณะที่สำนักงานดูแลความมั่งคั่งโดยเฉลี่ยไม่ได้เปลี่ยนแปลงพอร์ตการลงทุนขนานใหญ่ แต่หลายแห่งมีการเพิ่มปริมาณเงินสดสำรองและลดการก่อหนี้เพื่อนำมาลงทุน เพื่อรับมือกับดิสรัปชั่นที่กำลังจะมาถึง
ถึงกระนั้นก็ตาม ภาวะดิสรัปชั่นในทางเศรษฐกิจกำลังทำให้ผู้บริหารทรัพย์สินของมหาเศรษฐีหลายแห่งต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 45 ลดความเสี่ยงโดยอาศัยข้อได้เปรียบของสินทรัพย์ราคาถูกที่เป็นผลมาจากเหตุการณ์วิกฤต เช่น Brexit ร้อยละ 42 เลือกที่จะเพิ่มปริมาณเงินสดสำรอง และร้อยละ 22 เลือกที่จะลดการกู้ยืมเงินเพื่อมาลงทุน ผลสำรวจของ UBS ยังพบว่าร้อยละ 39 ของผู้ตอบแบบสำรวจตั้งใจจะเพิ่มการลงทุนตรงในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ภายในปี ค.ศ. 2020 และร้อยละ 28 มีการจัดสรรเงินไปลงทุนในหุ้นเหล่านั้นเพิ่มขึ้น
Family asset managers are working furiously as high net worth families anticipate a recession by 2020.
Words: Jonathan Ho Photo: Shutterstock
According to a recent UBS wealth survey in partnership with Campden Wealth Research, families with USD 1.2 billion in assets are anticipating a recession by 2020. As a result, the private offices managing wealth and assets of these high net worth families are moving cash and assets into relative safe havens as the financial downturn beckons
The UBS Global Family Office Report 2019 surveyed principals and executives in 360 family offices around the world, with an average of USD 917 million in assets under management. It noted, “Family offices have doubts about hedge funds’ ability to protect wealth during economic downturns”.
Following the smart money, the UBS report found that family offices, with an average USD 1.2 billion of wealth, anticipating a 2020 recession and citing high fees and lacklustre performance, have been divesting from hedge funds for a fifth year running and turning to financial “safe havens” like real estate.
“Family offices are looking to increase their allocations to real estate and private equity, particularly direct investments which offer families greater operational control. While family offices are concerned about the uncertainty in financial markets, they remain convinced that longer-term investments can deliver superior returns.” – Sara Ferrari, UBS Head of Global Family Office Group
55 percent of family office executives are expecting 2020 recession with fears are being driven by a growing trade war between US and China. While Brexit fears were also cited as a concern by 63 percent of the respondents, the smart money was also going to the UK due to the availability of under-valued assets and the surge of Hong Kong ultra-high net worth individuals snapping up golden visas, leading some analysts to predict long term recovery to pre-Brexit levels.
The average family office portfolio delivered a 5.4 percent return with private equity faring the best of all asset classes for high net worth families, achieving an average return of 16 percent for direct investments and 11 percent for funds-based investing. With an incoming recession, the ultra-wealthy are beginning to moderate and reduce their risk and exposure with 45% of them adjusting their portfolios, and increasing holdings in bonds and real estate. The maxim, “cash is king” remains true as well with 42% of the ultra-wealthy increasing their cash reserves.
Real estate was considered a safe haven investment by family-wealth offices thanks to average returns of 9.4 percent. As a result, most family offices increased their asset allocations to real estate portfolios by 2.1 percentage points, with real estate accounts now totalling 17 percent of the average family office portfolio. Private equity on the other hand, represented 19 percent of their portfolios, an asset class which UBS reported was the best performing of all. Global stocks saw the biggest allocations in the majority of portfolios, with 32 percent in emerging and developed market equities.
“Family offices are cautious about geopolitical tensions, and there is a widespread sense that we’re reaching the end of the current market cycle. While the average family office hasn’t made wholesale changes to its portfolio, many have been building up cash reserves and deleveraging their investments in anticipation of disruption ahead.” – Dr. Rebecca Gooch, Director of Research, Campden Wealth
That said, economic disruption is causing many family offices to re-align investment strategies – mitigating risk (45 percent), taking advantage of affordably priced assets rising from opportunistic events like Brexit, 42 percent opting to increase cash reserves or reducing leverage exposure (22 percent). As a result, UBS found that 39 percent intended to increase direct investing in private equity by 2020, with 28 percent taking growing allocations to private equity firms.
