Clarins ตั้งเป้าลดการใช้พลาสติกใหม่เป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2025 พร้อมเลิกการก่อให้เกิดขยะแบบฝังกลบโดยสมบูรณ์
บทความ: L’Officiel Singapore
ปี 2020 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ใครก็ไม่อาจฝืนได้ และในอุตสาหกรรมความงามเอง บรรดาผู้บริโภคต่างก็ให้ความสนใจในสิ่งที่ตัวเองเลือกใช้มากขึ้น หากจะอ้างอิงรายงานของ Research and Markets ในเรื่องบรรจุภัณฑ์ที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วก็จะเห็นว่าผู้บริโภคนั้นมองว่าความยั่งยืนเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเวลาที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าใด แบรนด์ความงามต่างๆ จำเป็นต้องตอบโจทย์ตรงจุดนี้ด้วยการมุ่งมั่นพัฒนาในรูปแบบที่ยั่งยืน แต่ทาง Clarins นั้นเริ่มใส่ใจเรื่องนี้มาก่อนที่จะเป็นกระแสสังคมแล้ว หลังจากที่มีสภาวะคาร์บอนเป็นศูนย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 แล้ว บริษัทความงามระดับลักชัวรี่จากฝรั่งเศสนี้ยังตั้งเป้าหมายในการลดการเกิดคาร์บอนอีก 30% และลดการใช้พลาสติกใหม่เป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2025 อีกด้วย
บุคคลที่นำพาความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ก็คือ คริสเตียน กูร์แตง-คลาแรงส์ ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลบริษัทและบุตรชายคนโตของผู้ก่อตั้งแบรนด์ Clarins ซึ่งมีความสนใจในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มเปี่ยม เขากล่าวว่า “บริษัทเครื่องสำอางจะต้องใส่ใจในระบบนิเวศของเรา และการพัฒนาแบบยั่งยืนนั้นเป็นเรื่องของคอมมอนเซนส์”
“ความงามที่มาพร้อมกับความยั่งยืน” ในแบบฉบับของ Clarins เป็นอย่างไร
เป็นแบบใส่ใจโลกและใส่ใจผู้คน สำหรับโลกนั้น เราต้องการจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้พืชและส่วนผสมที่จะช่วยรักษาไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพบนโลกของเรา และส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน สำหรับผู้คนนั้น เราให้ความใส่ใจต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดของเรา เริ่มต้นตั้งแต่ผู้บริโภคและพนักงาน เราดูแลให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีคุณภาพและความปลอดภัย เหนี่ยวนำให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันและให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่สอดคล้องกับความเชื่อของเรา
Clarins ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2020 อย่างไรบ้าง
วิกฤตการณ์โรคระบาดครั้งนี้ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคโดยทั่วไปนั้นเปลี่ยนแปลง ตัวตนในโลกดิจิตอลขององค์กรต่างๆ ทวีความสำคัญยิ่งกว่ายุคสมัยใด ในกรณีของเราเอง ช่องทางดิจิตอลนั้นเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับแบรนด์ของเราเหมือนกับเวลาไปที่ร้าน และเปิดโอกาสให้เราได้สื่อสารเรื่องสิ่งที่เราทำมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม เราไม่เพียงต้องการอนุรักษ์ทรัพยาการต่างๆ และจำกัดผลกระทบที่เกิดแก่ระบบนิเวศ แต่เราต้องการทำทุกสิ่งที่เป็นไปได้ด้วยความสมัครใจ เพื่อทำให้โลกกลับมางดงามเหมือนก่อนที่จะถูกกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ทำให้เปลี่ยนแปลงไป
ขั้นตอนของการทำให้ Clarins ใช้พลาสติกใหม่เป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2025 คืออะไร
ผมห้าม Clarins ทุกที่ใช้ถุงพลาสติกเมื่อปี ค.ศ. 1999 หรือเกือบ 20 ปีก่อนที่รัฐบาลฝรั่งเศสจะออกกฎหมายห้าม และผมเลิกใช้ไมโครบีดพลาสติกในผลิตภัณฑ์ขัดผิวทุกตัวของเราในปี ค.ศ. 2014 หรือหลายปีก่อนที่กฎหมายเครื่องสำอางจะห้ามอีกเช่นกัน เราต้องการที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในเรื่องพลาติกนี้ เป้าหมายต่อไปของเราคือการใช้พลาสติกใหม่เป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2025 ซึ่งเราจะทำได้โดยการริเริ่มโครงการรีไซเคิลและโครงการออฟเซ็ทใหม่ๆ พร้อมกับการลดการใช้พลาสติก 30% ภายในปี ค.ศ. 2025
นอกจากนี้เรายังเข้าเป็นพันธมิตรกับเรือ Plastic Odyssey (เรือที่ใช้พลังงานจากขยะพลาสติกที่หาได้จากจุดแวะพักแต่ละจุดเพียงอย่างเดียว) เพื่อให้ความรู้แก่ผู้คนในหัวข้อการรีไซเคิลและการอนุรักษ์ท้องทะเล PO เป็นหนึ่งในโครงการที่ทำให้มุมมองของคนเปลี่ยนไปจริงๆ โดยทำให้คนใช้ความระมัดระวังกับพลาสติก และมองว่าพลาสติกเป็นทรัพยากรด้วย ไม่ใช่เป็นแค่ขยะ
ในเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนนั้นคุณจะทำอย่างไร และขยะพลาสติกของคุณไปอยู่ที่ใด
เราใช้หลักการ 3R ครับ ได้แก่ Reduce, Reuse, Recycle ในที่นี้ รีดิวซ์คือการลดน้ำหนักและปริมาณพลาสติกที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์ของเรา อาทิ กระปุก My Clarins ขนาด 50 มล. ใช้พลาสติกน้อยลง 26% และเบากว่าบรรจุภัณฑ์ทั่วไปของเรา 30% รียูสคือการคิดค้นระบบรีฟิลใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ของเราในฝรั่งเศส และการนำวัสดุใช้แล้วอย่างเช่นแก้วและพลาสติกในการผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่ รีไซเคิลคือการพัฒนาวัสดุบรรจุภัณฑ์ของเราให้สะดวกต่อการรีไซเคิลมากขึ้น และมุ่งหวังให้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของเราทั้งหมด 100% เป็นแบบรีไซเคิลได้ภายในปี ค.ศ. 2025 ในเรื่องขยะพลาสติกนั้น โรงงานของเราทั้งหมดมีนโยบายไม่ก่อให้เกิดขยะแบบฝังกลบ โดยเราจะนำขยะไปรีไซเคลหรือแปลงเปลี่ยนเป็นพลังงานอีกครั้งหนึ่ง
คุณมีนวัตกรรมรักษ์โลกอะไรกำลังจะออกใหม่อีกหรือไม่
ในปี ค.ศ. 2021 นี้ Clarins จะเปิดตัวแชมพูแบบก้อนตัวแรกโดยไม่มีบรรจุภัณฑ์พลาสติกเลย และเราจะเปิดตัวระบบรีฟิลที่บูติคบางแห่งภายในประเทศฝรั่งเศสเพื่อให้ลูกค้าน้ำขวดเปล่าของ Eau Dynamisante และ Tonic Oil มาเติมผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ในราคาที่ต่ำลง
สุดท้าย อยากถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ Clarins และตัวคุณมีกับธรรมชาติ
ความรักในธรรมชาติได้สร้างแรงบันดาลใจให้เราทำการวิจัยและขับเคลื่อนนวัตกรรมต่างๆ นับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งบริษัทในปี ค.ศ. 1954 เราตระหนักดีว่าเราเป็นหนี้บุญคุณมนุษยชาติและธรรมชาติเพียงใด และเราก็เป็นผู้บุกเบิกในด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติตั้งแต่แรกเริ่ม
เราเปิดตัว Le Domaine Clarins ในเทือกเขาแอลป์สเมื่อปี ค.ศ. 2019 เพื่อปลูกและศึกษาพืชพรรณต่างๆ ที่เราสามารถใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและแต่งหน้าได้ เราใช้วิถีเกษตรแบบเพอร์มาคัลเจอร์ซึ่งไม่ใช้เครื่องจักรกลหนัก โดยเราใช้แต่แรงงานม้าเท่านั้นเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตของเนื้อดิน โดเมนแห่งนี้เป็นแหล่งที่มาของวัตถุดิบชั้นเยี่ยม เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าส่วนผสมที่ดีจะนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ดีที่สุด ทุกวันนี้ส่วนผสมของ Clarins กว่า 80% มาจากพืช เวลาคุณประกอบอาชีพแบบใกล้ชิดกับพืชพรรณต่างๆ ขนาดนี้ คุณจะรักและหวงแหนและนับถือคนที่ทำหน้าที่ปลูกเขาเลย ธรรมชาติไม่ได้ต้องการ แต่ในทางกลับกัน เราต่างหากที่ต้องการธรรมชาติ!
บทความที่เกี่ยวข้อง: The Streaming War So Far
Clarins’ commitment to responsible beauty includes a zero-landfill policy and aims for plastic neutrality by 2025.
Words: L’Officiel Singapore
2020 is a year that has forced change. Thoughtful consumption has also become all the more relevant for the beauty industry, with sustainability a “great factor of importance” when it comes to making purchase decisions, as stated by Research and Markets’ packaging report published earlier in July 2020. Beauty brands are meeting this reality with renewed commitment to sustainable development. But long before sustainability became a buzzword, Clarins has been carbon neutral since 2020. The French luxury beauty company aims to further reduce its carbon footprint by 30%, become 100% plastic neutral by 2025.
At the centre of this change is Christian Courtin-Clarins. The President of the supervisory board at Clarins and oldest son of the founder of the beauty brand has a strong passion for environmental issues. He puts simply, “Cosmetics companies have to care about our ecosystem. Sustainable development is a matter of common sense.”
What does “sustainable beauty” mean to Clarins?
Caring for the planet, and caring for people. For the planet, it means leaving positive environmental impact, using plants and ingredients that protect the biodiversity of our earth, and inculcating a circular economy. On the people level, we pay attention to all of our stakeholders, starting with consumers and our employees. We ensure the quality and safety of the products, and engage with acts of solidarity, supporting causes that truly matter to us.
How have the events from 2020 affected Clarins?
The pandemic crisis has changed general consumer behaviour – a digital presence has become more important than ever. In our case, digital is another way to experience the brand in the same way you can in a physical store and allows us to be more transparent with our practices, primarily corporate social responsibility. It is not just about preserving resources and limiting the impact on ecosystems; it is about voluntarily doing everything possible to give back the beauty that certain human activities have altered.
What are the steps you are taking towards becoming plastic neutral by 2025?
In 1999, I prohibited plastic bags from all Clarins, almost 20 years before the French law was passed. In 2014, several years before cosmetics legislation required it, I stopped using plastic microbeads in all our exfoliating products. We want to have a real impact on the plastic issue. Our next goal is to reach plastic neutrality by 2025. This includes installing new recycling and offset programmes, together with a 30% reduction in plastic usage by 2025.
We’ve also partnered with Plastic Odyssey (a boat powered solely by the energy from the plastic waste harvested at each of its stopovers) to educate people about plastic recycling and preserving the oceans. PO is one of those projects that really changes the way we look at things, to be careful with plastic and see it not as waste, but as a resource.
What are your steps towards becoming a circular economy, and where does your plastic waste go?
We apply the three 3R’s principles: Reduce, Reuse, Recycle. Reduce: The weight and plastic used within our packaging. For instance, the new My Clarins 50 ml jar uses 26% fewer plastics and is 30% lighter than our usual pack. Reuse: we have implemented new Refill systems for our products in France, as well as reusing post-consumer materials like glass and plastics to make new packaging. Recycle: We work on improving our packaging materials to make it easier to recycle, and aim for 100% of the skincare catalogue to be recyclable by 2025. For our plastic waste, all our industrial sites practice a zero-landfill policy, so they are valorised either by recycling or energy recovering.
Any exciting green innovations in store?
In 2021, Clarins is going to launch its very first solid shampoo, without any plastic packaging. We have also just launched a new refillable system in some of our boutiques in France where customers can refill their Clarins empty bottles of Eau Dynamisante and Tonic Oil at a lower cost.
Finally, what is Clarins’ and your connection with nature?
Our love for nature has inspired our research and stimulates our innovation since our inception in 1954. We respect and are conscious of how much we owe to humankind and nature and have been the pioneers in being committed to protecting nature from the very beginning.
In 2019, we unveiled the Le Domaine Clarins in the Alps to grow and study plants for the development of its skin-care and makeup products. Directly inspired by permaculture, we do not use heavy mechanical material, with only horses used to work the land to respect the soil’s life gently. It is an incredible source of quality raw materials. We firmly believe the best ingredients make the best skincare products. Today, more than 80% of the Clarins ingredients are plant based. When you work so closely with plants, you have to love and protect them and respect those who grow them. Nature doesn’t need us. It is quite the opposite: we need it!
See also: The Streaming War So Far
