ราคาหุ้น Amazon ขยับขึ้นทำนิวไฮหลังได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ไม่ปกติช่วงสี่เดือนที่ผ่านมา
บทความ: จูเลีย โรซาน ภาพเปิด: Shutterstock
ในขณะที่ทั่วโลกยังมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพราะ Covid-19 เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่มีวี่แววจะหยุดยั้งในเร็ววัน ธุรกิจต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีก ความบันเทิง โรงแรม การท่องเที่ยวและแม้แต่การแพทย์ก็ตาม แต่กลับมีชายอยู่คนหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์จากวิกฤตในครั้งนี้ ชายคนนั้นก็คือ เจฟ เบซอส ซีอีโอของ Amazon ซึ่งตั้งแต่เปิดปีนี้มารวยขึ้นแล้วประมาณ 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
หุ้น Amazon ขึ้นทำนิวไฮในกรอบ 52 สัปดาห์ที่ราคา 2,461 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้นเนื่องจากได้ประโยชน์จากความต้องการจับจ่ายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซของประชาชนที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ในช่วงเวลาสี่เดือนที่ผ่านมา และถือว่า Amazon เป็นบริษัทขนาดใหญ่ยักษ์รายแรกที่มีราคาหุ้นดีดตัวได้หลังจากที่มีแรงเทขายหุ้นอย่างหนักเพราะสถานการณ์ไวรัสเขย่าตลาด
ไม่เพียงเท่านั้น Amazon ยังจะว่าจ้างพนักงานเพิ่มอีก 175,000 คนด้วยเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เบื่อๆ เพราะต้องกักตัวอยู่กับบ้านได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ดี Amazon ก็จะเร่งสต็อกและจัดส่งสินค้าที่มีความจำเป็นทางการแพทย์และของที่จำเป็นต่อครอบครัวอย่างเช่น อาหาร ผลิตภัณฑ์เพื่อการฆ่าเชื้อและอาหารของเด็กทารกก่อนเป็นอันดับต้นๆ
ในด้านการดูแลพนักงานจากภัยเงียบของ Covid-19 นั้น Amazon ได้สั่งซื้อหน้ากากมาแล้วหลายล้านชิ้นเพื่อให้พนักงานใช้ แล้วยังมีการกำหนดมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม 6 ฟุต ตลอดจนการวัดอุณหภูมิอย่างสม่ำเสมอตามโรงงาน โกดังและสำนักงานทุกแห่งของบริษัท
ไม่เพียงเท่านั้น Amazon ยังมีการจัดตั้งกองทุน Amazon Relief Fund มูลค่า 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเพื่อมอบเงินช่วยเหลือคนงานแบบมีสัญญาจ้างและคนงานตามฤดูกาลให้เขาเหล่านั้นได้ลาหยุดโดยที่ยังได้รับเงินค่าจ้างในกรณีที่โชคร้ายติดไวรัสขึ้นมา
ในการนี้ทางบริษัทได้ให้คำมั่นแล้วว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่คนงานและผู้รับเหมาของตนทั่วโลกโดยไม่มีการแบ่งแยกหากประสบปัญหาทางการเงินเพราะว่า Covid-19 ภัยธรรมชาติ การประกาศภาวะฉุกเฉินโดยรัฐบาลและเหตุไม่คาดฝันอื่นๆ โดยกองทุน Amazon Relief Fund นี้จะสามารถจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับผู้มีสิทธิ์ได้ 400-5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน
บทความที่เกี่ยวข้อง: Japan Plans to Move Production from China
Amazon rides on the unprecedented demand for e-commerce services throughout the past four months.
Words: Julia Roxan Opening Photo: Shutterstock
The numbers of confirmed cases and death tolls from Covid-19 are unlikely to stagnate anytime soon. Amongst the innumerable industries such as retail, leisure and hospitality, healthcare and tourism, suffering the harshest setbacks, one man seems to be winning in this global crisis. Amazon CEO Jeff Bezos has officially amassed an approximate USD 24 billion this year.
Reporting stocks valued at a record 52-week high of USD 2,461 per share, Amazon has earned its title as the first major company to rebound from the coronavirus market selloff, benefiting from the unprecedented demand for e-commerce services throughout the past four months.
The retail giant is also expanding its capacity with an additional 175,000 employees in an effort to meet the overwhelming demands of its bored and quarantined consumers, whilst prioritizing the stocking and delivering of essential medical and household items such as staples, sanitizers and baby formula.
Taking steps to protect its growing base of employees from the looming threats of Covid-19, Amazon has since ordered millions of masks for its workers and has implemented safe 6-foot social distancing measures, and regular temperature checks in all of its factories, warehouses and offices.
Going above and beyond, the multi-national organization launched a USD 25 million Amazon Relief Fund in early March this year, offering generous grants to contract and seasonal workers, and allowing them paid leave in the unfortunate event that they do contract the deadly virus.
To this end, Amazon has pledged to indiscriminately support all of its workers and contractors around the world, whom struggle from financial hardship in light of Covid-19, natural disaster, federally declared emergency and other unforeseen circumstances. Depending on the severity of each case, the Amazon Relief Fund thus grants all applicants anywhere from USD 400 to 5,000.
See also: Japan Plans to Move Production from China
